Header Ads Widget

ads

Ticker

6/recent/ticker-posts

รีวิวเที่ยวอยุธยา จะไปกี่คราก็ตราตรึง ประทับซึ้งถึงทรวงใน งามวิไลโบราณสถาน สวยอลังการสะท้านโลกา

รีวิวบทความบล็อกท่องเที่ยวประจำเดือน สิงหาคม 2560 ปั่นจักรยานเที่ยวอยุธยา ครึ่งวัน เดินสุขสันต์เรียนรู้ตามโบราณสถาน งามอลังการเลิศเว่อร์



ขอกราบสวัสดี๊ดี สวีดั๊ดดัดนักเขียนบล็อกฝึกหัด รวมทั้งเพื่อนๆพี่ๆน้องๆ ผองชาวไทยที่น่ารักกันทุกๆคนนะค่ะ ดิฉันคุณนายเว่อร์ เทอร์ชอบเที่ยวกินนอน บล็อกเกอร์สมัครเล่นแนวๆกากๆ โกโรโกโส ขอมาเฮลโหลจ๊ะจ๋า ดี๊ด๊า บ้าๆบอๆ ต้อนรับท่านเข้าสู่เว็ปบล็อกแนะนำที่พัก รีวิวท่องเที่ยว เขียนจนโลกเบี้ยวไปหนึ่งข้าง ให้ท่านได้สพร่างอ่านกันแบบระรัว จนปวดหัว ปวดสมองกันอีกเหมือนกันทุกๆบล็อกที่ผ่านมานะค่ะ ถือว่ามาอ่านบล็อกฆ่าเวลา ส่วนเดี๊ยนเองก็ได้มาเขียนบล็อกหลังเลิกงานประจำไปค่ะ บล็อกจะได้ไม่ร้างนะค่ะ



เข้าเรื่องของวันนี้เลยนะค่ะ เมื่อช่วงปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านช่วงวันที่ 22 ส.ค.2560 ดิฉันได้วันหยุดประจำเดือนพอดีค่ะ หลังจากที่กลับมาจากญี่ปุ่นก็ง่วนทำแต่งานและก็ต้องเขียนรีวิวลงในบล็อกกว่าจะจบ เล่นเอาเดี๊ยนมือหงิกไปเลยล่ะค่ะ ใหนจะทั้งเรื่องงานและก็เรื่องเว็ปบล็อกที่ต้องรีวิว เพราะใหนๆก็อุตสาห์ตั้งใจเขียนและทำมาเป็นปีแล้ว ยังไงก็คงไม่จรลีหายไปอย่างแน่นอนค่ะ ถึงแม้มีคนมาอ่านวันละ 1 คน เดี๊ยนก็สุขล้นเบิกบานฤทัยแล้วค๊า

 

ซึ่งได้วันหยุดประจำเดือนมา ไม่รู้จะไปเที่ยวที่ใหนดี ตอนแรกอยากไปพักไกล แต่สตังก็เริ่มหมดแล้ว ทริปตะล่อนเที่ยวประจำเดือนสิงหาคม เดี๊ยนเลยจัดทริปเที่ยวไปใกล้ๆแล้วกันค่ะ  เลยไปเที่ยวอยุธยาดีกว่าค่ะ เมืองท่องเที่ยวอยู่ใกล้กรุงเทพ ไปเสพกี่ครั้ง ก็งามเป๊ะปังอลังการเว่อร์ ทั้งอาหารและขนม นมเนย อบเชย ก็หอมอร่อยเลิศเลอล้ำค่า เดินศึกษาเมืองเก่า เล่าย้อนความหลัง เพื่อรำลึกถึงวีรกรรมของบรรพรุษชาติไทย ที่แสนจะเกริกก้องเกรียงไกร กอบกู้ชาติไทยให้กลับมาเป็นเอกราชอีกครั้ง หลังจากสุญเสียกรุงไป ก็ทิ้งไว้ซึ่งความเจ็บปวดและภูมิหลังของซากปรักหักพังให้ได้เรียนรู้อยู่มาจนถึงปัจจุบันค่ะ โดยการไปเที่ยวครั้งนี้ก็ไม่ได้แวะไปค้างคืนที่นั้นเลยค่ะ เพราะไปเที่ยววันเดียวแบบไปเช้า-เย็นก็กลับค่ะ (โดยรีวิวในบทความนี้ค่อนข้างจะเน้นความรู้ค่ะ น่าจะมีประโยชน์กับผู้อ่านไม่มากก็น้อยค่ะ ผิดพลาดยังไงต้องขออภัยค่ะ)




หลังจากที่ไม่ได้เที่ยวอยุธยานานมากๆค่ะ เพราะหากไปอยุธยาส่วนใหญ่ก็ไปไหว้พระ กินก๋วยเตี๋ยว เดินเที่ยวตลาดน้ำ แล้วก็กลับแวะกลับกรุงเทพ แต่ในการไปเที่ยวครั้งนี้ก็ไม่ได้ไปเหมือนที่ผ่านมาค่ะ เพราะทริปนี้มาคนเดียว เลยขอไปเที่ยวแบบได้ศึกษาเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชาติไทย เช่าจักรยานปั่นแวะไปตามโบราณอันสำคัญ น่าจะได้ความรู้และมีประโยชน์บ้างค่ะ โดยทริปนี้ตอนแรก เดี๊ยนกะว่าจะไปแต่เช้า แต่ติดธุระเรื่องงานนิดหน่อย กว่าจะได้ออกจากกรุงเทพก็เกือบเที่ยงแล้วค่ะ ทริปนี้ เดี๊ยนก็เลยได้เที่ยวอยุธยาแค่ครึ่งวันค่ะ ทริปนี้เลยจัดไปเท่าที่ได้แล้วกัน เดียวไว้วันหลังค่อยมารีวิวใหม่ค่ะ

เอาล่ะค่ะ เดี๊ยนเองก็บ่นพร่ำเพร้อพรรรณา บ้าๆบอๆมาเยอะแล้ว ขอมาบรรเลงเขียนรีวิวปั่นจักรยานเที่ยวเมืองเก่าอยุธยาให้ทุกๆท่านได้มาสไลด์มือถืออ่านบทคว่ทและดูภาพตามกันไปได้เลยจ้า ผิดพลาดขออภัยด้วยนะค่ะ

 
เริ่มต้นเเที่ยวอยุธยาทริปนี้ มาขึ้นรถตู้ที่ท่ารถใกล้ฟิวเจอร์พาร์ครังสิต 


วันที่ 22 ส.ค.2560 ดิฉันเลือกวิธีการเดินทางโดยรถตู้ไปอยุธยา ตอนแรกกะว่าจะขับมอเตอร์ไซต์จากที่บ้านไป แต่มอเตอร์ไซต์ของเดี๊ยน คันมันเก่าและสับปะรังเคมากๆแล้ว เกรงขับไปจะพังเอากลางทาง เลยเลือกเดินทางไปโดยรถตู้ดีกว่า แถมสะดวกและง่ายดีค่ะ

โดยวิธีการเดินทางก็คือมาขึ้นรถที่ท่ารถตู้แถวรังสิตค่ะ ใกล้ฟิวเจอร์พาร์คค่ะ  เนื่องจากไม่ได้มาแถวนี้เสียนาน ปกติจะรถขึ้นรถตู้ตรงป้ายรถเมลล์จะมีรถตู้ผ่านมารับตลอด แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว ตั้งแต่มีการจัดระเบียบรถตู้ ก็ต้องข้ามถนน ข้ามสะพานลอยไปขึ้นของท่ารถตู้ที่เค้าจัดไว้ค่ะ 

 
ตอนขึ้นมาบนรถตู้ยัง ไม่ค่อยมีคนมานั่งเลยนะค่ะ แต่ไม่นานนักคนก็มาเต็มคันค่ะ แป๊บเดียวเอง ส่วนค่าโดยสารรถตู้จากฟิวเจอร์พาร์ครังสิตไปอยุธยาก็ไม่ได้แพงเลยค่ะ แค่ 40 บาทเองจ้า
นั่งรถตู้แป๊บเดียวไม่นานเลยค่ะก็ถึงเมืองอยุธยาแล้วค่ะ  โดยรถตู้มาจอดย่านใจกลางเมืองแถวๆตลาดเจ้าพรหมค่ะ
ส่วนสภาพอากาศในวันที่ดิฉันเดินทางมาในวันนี้นะค่ะ บนท้องฟ้าแจ่มใส่มากๆ แต่อากาศก็ร้อนสุดๆเหมือนกันนะค่ะ
เดินมาตั้งหลักแถวตลาดเจ้าพรหม  เนื่องจากไม่ได้มาแวะมาในเมืองอยุธยาเสียนาน เดี๊ยนเองก็สับสน งวยงงกับเส้นทางพอสมควรค่ะ ไม่รู้จะไปทางซ้ายหรือไปทางขวา จะเดินลั๊ลลาไปทางใหนดีค่ะ เลยต้องใช้มือถือเป็นตัวช่วยนำทางค่ะ 
สำหรับแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นโบราณสถานในเขตย่านเมืองเก่า ก็อยู่ไม่ไกลจากท่ารถตู้นะค่ะ เดินจากตลาดไปอีกประมาณ 1 กิโลเมตรก็ถึงค่ะ แต่ระหว่างเดินอากาศร้อนมากๆ แต่เดี๊ยนก็ไม่สะท้านค่ะ เพราะสีผิวกระดำกระด่างพร้อมรับแสงอุตราไวโอเลตเต็มที่ค่ะ
ระหว่างทางจะเดินไปยังเมืองเก่า แวะผ่านร้านก๋วยเตี๋ยวเรือ เห็นมีลูกค้านั่งทานกันเต็มร้านเลยค่ะ น่าจะอร่อยดี เลยขอแวะลิ้มลองสักหน่อยค่ะ พอลิ้มลองลองรสชาติก็อร่อยดีค่ะ แต่ใจจริงแล้วเดี๊ยนอยากทานก๋วยเตี๋ยวหมูต้มยำมากกว่าค่ะ จำได้ว่าเคยมาทานกับเพื่อนๆเมื่อปีที่แล้ว ร้านอยู่ย่านชานเมืองเนี่ยแหละค่ะ ก๋วยเตี่ยวอร่อยแซ่บซี๊ดมากๆ นึกแล้วก็อยากไปทาน แต่จำเส้นทางไม่ได้ค่ะ 
 หลังจากทานก๋วยเตี๋ยวอิ่มแล้วนะค่ะ ดิฉันก็เดินมายังสีแยกตรงวัดราชบูรณะค่ะ  เพื่อเช่าพาหนะที่จะนำพาดิฉันไปยังโบราณสถานต่างๆในวันนี้ค่ะ ซึ่งใกล้กับวัดราชบูรณะก็มีร้านเช่าจักรยานให้เลือกค่อนข้างเยอะเลยค่ะ 
โดยราคาเช่าจักรยานก็ไม่แพงเลยนะค่ะ  เช่าจักรยานมาปั่นไปยังเมืองท่องเที่ยวต่างก็ตกวันละ 50 บาทค่ะ ปั่นได้ทั้งวันเลยค่ะ ตอนเช่าจักรยาน ทางร้านจะยึดบัตรประชาชนไว้ ตอนคืนรถจักรยานก็ค่อยนำมาคืนตามเวลาที่ร้านกำหนดค่ะ ของเดี๊ยนเช่าตอนบ่ายโมงกว่าแล้วค่ะ และต้องคืนก่อนร้านปิด 6 โมงนะค่ะ
นอกจากจักรยานมาเช่าปั่นแล้ว ทางร้านก็ใจดีให้แผนที่ท่องเที่ยวมาให้ด้วยนะค่ะ
เนื่องด้วย ตัวดิฉันเองก็มาอยุธยาถึงตอนบ่ายๆแล้วค่ะ กะว่าคงเที่ยวได้ไม่ครบเลยขอไปเที่ยวตามโบราณสถานสำคัญแล้วกันค่ะ
มาเที่ยววัดแรกที่วัดราชบูรณะค่ะ ถ้าเป็นคนไทยเสียค่าธรรมเนียมเข้าชมตามโบราณสถานต่างๆ วัดละ 10 บาท แต่ถ้าให้คุ้มนะค่ะ ซื้อแบบไปได้ทุกวัดเลยก็ 40 บาทค่ะ
ที่ดิฉันแวะมาวัดราชบูรณะก่อนก็เพราะว่า วัดนี้อยู่ใกล้ๆกับร้านเข่าจักรยานเลยค่ะ 
 เข้ามาก็มีป้ายบอกธรรมเนียมการปฎฺิบัติในการเข้าชมโบราณสถานต่างๆค่ะ อันนี้เป็นป้ายห้ามปีนป่ายโบราณสถานค่ะ ส่วนใหญ่ติดแจ้งไว้ให้นักท่องเที่ยวต่างชาติได้
ใหนก็แวะมาวัดราชบูรณะทั้งที มารู้จักวัดนี้กันดีกว่าค่ะ ว่ามีประวัติความเป็นมาอย่างไร ทำไมถึงมีความสำคัญ เดี๊ยนเลยไปค้นหาข้อมูลดีๆมาให้ทุกท่านได้อ่านกันค่ะ

มารู้จักวัดราชบูรณะกันค่ะ?
วัดราชบูรณะมีชื่อเสียงและความโด่งดังมากในเรื่องการถูกกลุ่มคนร้ายจำนวนหนึ่ง ลักลอบขุดกรุภายในพระปรางค์ประธาน ในปี พ.ศ. 2499 และช่วงชิงทรัพย์สมบัติจำนวนมากมายมหาศาลหลบหนีไป ต่อมากรมศิลปากรเข้าทำการบูรณะขุดแต่งต่อภายหลัง พบทรัพย์สมบัติที่หลงเหลือและเครื่องทองจำนวนมากมาย ปัจจุบันทรัพย์สมบัติภายในกรุถูกเก็บรักษาไว้ที่ห้องราชบูรณะ ภายในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา

ที่ตั้งของวัดราชบูรณะ : ตั้งอยู่ตำบลท่าวาสุกรี อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา บริเวณเชิงสะพานป่าถ่าน ติดกับวัดมหาธาตุทางบริเวณทิศตะวันออก ห่างจากพระราชวังโบราณ เพียงเล็กน้อย จัดเป็นหนึ่งในวัดที่ใหญ่และมีความเก่าแก่มากที่สุดในพระนครศรีอยุธยา สร้างโดยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 หรือเจ้าสามพระยา ในปี พ.ศ. 1967
ประวัติของวัดราชบูรณะ
วัดราชบูรณะสร้างขึ้นในรัชสมัยของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 ในบริเวณพื้นที่และตำแหน่งเดิมที่พระองค์ได้ทรงถวายพระเพลิงศพให้กับเจ้าอ้ายพระยาและเจ้ายี่พระยา พระเชษฐาทั้งสองพระองค์ที่สิ้นพระชนม์ภายในหลังจากการกระทำยุทธหัตถี เพื่อแย่งชิงราชสมบัติของสมเด็จพระนครอินทราธิราชพระราชบิดาที่เสด็จสวรรคตลงในปี พ.ศ. 1967
เมื่อครั้งที่สมเด็จพระนครอินทราธิราช เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ เป็นพระมหากษัตริย์ลำดับที่ 6 แห่งกรุงศรีอยุธยา และพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 3 แห่งราชวงศ์สุพรรณภูมิ โปรดเกล้าให้พระราชโอรสของพระองค์ทั้ง 3 พระองค์ได้แก่ เจ้าอ้ายพระยา เจ้ายี่พระยาและเจ้าสามพระยา แยกย้ายกันปกครองหัวเมืองต่าง ๆ โดยทรงมอบหมายให้เจ้าอ้ายพระยา พระราชโอรสองค์ใหญ่ปกครองเมืองสุพรรณบุรี เจ้ายี่พระยา พระราชโอรสองค์กลางปกครองเมืองแพรกศรีราชา และเจ้าสามพระยาพระราชโอรสองค์เล็ก ปกครองเมืองชัยนาท (พิษณุโลก)
และ ในปี พ.ศ. 1967 สมเด็จพระนครินทราธิราชเสด็จสวรรคตโดยที่ยังมิได้สถาปนาพระมหาอุปราชผู้เป็นรัชทายาทครอบครองกรุงศรีอยุธยา เมื่อเจ้าอ้ายพระยากับเจ้ายี่พระยาทราบข่าวการสวรรคต จึงยกกองทัพเข้ากรุง เพื่อชิงราชสมบัติสืบแทนพระราชบิดา ทั้งสองพระองค์ยกทัพมาเวลาเดียวกันพอดี เจ้าอ้ายพระยาตั้งทัพอยู่ใกล้วัดพลับพลาไชย ป่ามะพร้าว เจ้ายี่พระยาตั้งทัพอยู่ใกล้วัดชัยภูมิ ป่ามะพร้าว แล้วทั้งสองพระองค์ก็เคลื่อนทัพเข้าสู้กัน บริเวณสะพานป่าถ่านในปัจจุบัน ทั้ง 2 พระองค์ทรงพระแสงของ้าวฟันต้องพระศอขาดพร้อมกันทำให้สวรรคตพร้อมๆกัน เจ้าสามพระยาซึ่งไม่ได้มาร่วมด้วย จึงเสด็จจากเมืองชัยนาท ขึ้นครองราชย์ในกรุงศรีอยุธยา แทนพระราชบิดาทันที มีพระนามว่า สมเด็จพระบรมราชาธิราช ที่ 2 เมื่อเจ้าสามพระยาทรงขึ้นครองราชย์แล้ว จึงจัดการถวายเพลิงพระศพ พระเชษฐาธิราชทั้งสองพระองค์พร้อมกัน สถานที่ที่ถวายพระเพลิงนั้น ก็ทรงอุทิศสร้างพระปรางค์และพระวิหาร มีนามว่า เจดีย์เจ้าอ้ายพระยาเจ้ายี่พระยา
สำหรับพระปรางค์วัดราชบูรณะมีกรุใหญ่และลึก กรมศิลปากรทำการขุดเรียบร้อยแล้ว เมื่อปี พ.ศ. 2500 ในปัจจุบันเปิดให้เข้าไปชมกรุได้ตามปกติ กรุพระปรางค์วัดราชบูรณะมีทั้งหมด 4 ห้องใหญ่ๆ เรียงกันลงไปแนวดิ่ง โดยชั้นล่างสุดอยู่ในแนวระดับพื้นดิน ดังนี้

กรุชั้นที่ 1เป็นชั้นที่อยู่บนสุด เดิมมีผนังก่อปิดภาพทั้งหมด (ภาพคนจีน เทพชุมนุม ฯลฯ) หลังผนังทำเป็นช่องเล็กๆ ใส่พระพิมพ์ และ พระพุทธรูปไว้จนเต็ม และในนั้น คนร้ายพบพระพุทธรูปทองคำขนาดหน้าตัก 1 ศอก อยู่ 3-4 องค์
กรุชั้นที่ 2เป็นชั้นกลาง มีถาดทองคำ 3 ใบเต็มไปด้วยเครื่องทอง กรมศิลปากรได้รื้อพื้นออก จึงทำให้กรุห้องที่ 2 และ 3 เชื่อมกัน มีจิตรกรรมเป็นภาพอดีตชาติพระพุทธเจ้า วาดอยู่ในช่องสี่เหลี่ยม และ รอบๆมีโต๊ะสำริดเล็กๆตั้งอยู่ทุกซุ้มเว้นด้านใต้ ใช้วางเครื่องทอง และ ผ้าทองที่ขโมยให้การว่าแค่แตะก็ป่นเป็นผงแล้ว
กรุชั้นที่ 3 เป็นห้องที่อยู่ในสุด เป็นห้องที่สำคัญที่สุด บรรจุพระบรมธาตุ ซึ่งเก็บรักษาอย่างดีในเจดีย์ทองคำ และ รอบๆยังเต็มไปด้วยพระพุทธรูปต่างๆ
เดินขึ้นมาที่องค์พระปรางค์ด้านบนก็จะเห็นวิวอันสวยงามของบรรยากาศ สภาพแวดล้อมโดยรอบค่ะ
การค้นพบกรุเมื่อปี พ.ศ. 2499 เป็นข่าวโด่งดังไปทั่วประเทศ ปีถัดมาทำให้มีขโมยกลุ่มใหญ่ลักลอบมาขุดกรุวัดราชบูรณะ พบเครื่องทองและอัญมณีจำนวนมาก แต่ทว่าฝนตกหนักและรีบเร่งกลุ่มขโมยจึงขนของไปไม่หมด เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้เวลาไม่กี่วันก็จับและยึดของกลางได้บางส่วน หลังจากนั้นกรมศิลปากรได้เข้ามาขุด ปรากฏว่าพบสิ่งของกว่า 2000 รายการ พระพิมพ์กว่า แสนองค์ ทองคำหนักกว่า 100 กิโลกรัม ปัจจุบันเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา
ขอบพระข้อมูลดีจากเว็ปไซต์ https://th.wikipedia.org/wiki/วัดราชบูรณะ_(จังหวัดพระนครศรีอยุธยา)
เดินขึ้นมาบนพระปรางค์ ลมเย็นดีๆมากค่ะ
ขณะนี้อยู่ด้านในกรุพระปรางค์ บรรยากาศดูค่อนข้างอึมทึมมากๆ และมีกลิ่นอับหน่อยค่ะ โชดดีในวันที่เดี๊ยนมาเที่ยวเป็นวันธรรมดา นักท่องเที่ยวเลยไม่ได้เยอะเท่าไหร่ค่ะ
มองวัดนี้แล้ว ช่วงในอดีตจะต้องเป็นวัดที่ใหญ่โต สวยงาม เรืองรองผ่องอำไพมากๆนะค่ะ
หลังจากที่เดี๊ยนได้ใช้เวลาอยู่ในวัดนี้ไม่นานก็ปั่นจักยานออกไปยังวัดถัดไปค่ะ
และโบราณสถานถัดมาซึ่งอยู่ใกล้กับวัดราชบูรณะก็คือ วัดมหาธาตุ อีกหนึ่งวัดที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกและไปหนึ่งในวัดที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาชม เศียรพระพุทธรูปที่ถูกปกคลุมด้วยรากต้นโพธิ์ เป็นสถานที่ซึ่งใครมาเที่ยวอยุธยาก็ต้องแวะมาที่่นี้ให้ได้ค่ะ  
เดินเข้ามาด้านในวัดนี้ เดี๊ยนรู้สึกว่ามีนักท่องเที่ยวเยอะกว่าวัดราชบูรณะอีกนะค่ะ




 และจุดท่องเที่ยวไฮไลทที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวตลอดกาลก็คือ เศียรพระพุทธรูปใต้ต้นโพธิ์เนี่ยแหละค่ะ
เดี๊ยนเดินมาตอนแรกมีไม่กี่คนเองนะค่ะ แป๊บเดียวนักท่องเที่ยวก็มาก็เยอะเชียว 

เศียรพระพุทธรูปในรากไม้ที่อยุธยา 
เศียรพระพุทธรูปที่ถูกรากต้นโพธิ์ปกคลุม มุมนี้ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ทั่วทุกมุมโลก
ยังดีนะค่ะที่ถ่ายรูปประวัติของเศียรพระพุทธรูปในรากไม้นี้เอาไว้ เลยเอามาฝากให้ทุกๆท่านอ่านกันค่ะ

เกี่ยวกับเศียรพระพุทธรูปในรากไม้มี มีที่มาอย่างไร? 
เศียรพระพุทธรูปหินทรายที่แตกหักจากองค์พระ แล้วถูกรากต้นโพธิ์ขึ้นปกคลุม ลักษณะพระพักตร์ค่อนข้างแบนและกว้าง พระขนงและขอบพระเนตรป้ายเป็นแผ่นใหญ่ พระโอษฐ์กว้างเป็นแนวตรง ขอบพระโอษฐ์ยกเป็นสันขึ้นเล็กน้อย  เป็นรูปแบบศิปกรรมสมัยอยุธยาตอนกลาง กำหนดอายุไว้ราวกลางพุทธศตวรรษที่ 21


 
ใหนๆก็แวะมาวัดนี้ทั้งที มารู้จักวัดมหาธาตุกันดีกว่าค่ะ จะได้ความรู้กันไปด้วยค่ะ

เกี่ยวกับวัดมหาธาตุ 

วัดมหาธาตุ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ถือเป็นหนึ่งในวัดในเขตอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา และเป็นวัดที่มีความสำคัญยิ่งในสมัยกรุงศรีอยุธยามากด้วยค่ะ เพราะเป็นวัดที่ประดิษฐานพระบรมธาตุใจกลางพระนคร และเป็นที่พำนักของสมเด็จพระสังฆราชฝ่ายคามวาสีอีกด้วย วัดแห่งนี้จึงได้รับการก่อสร้างและดูแลตลอดเวลาจวบจนถูกทำลายลงหลังเสียกรุงครั้งที่ 2

วัดมหาธาตุมีประวัติความเป็นมาอย่างไร?

วัดมหาธาตุเป็นวัดที่เก่าแก่และมีประวัติที่ไม่แน่ชัด บางบอกปี พ.ศ. 1917 บางบอกปี พ.ศ. 1927 อย่างไรก็ตาม ได้ใช้เวลาก่อสร้างไปเป็นจำนวนมาก

ในสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม พระปรางค์เคยพังลงมาเกือบครึ่งองค์ถึงชั้นครุฑ ปรางค์ของวัดเดิมสร้างด้วยศิลาแลง แต่จะด้วยเหตุผลประการใดไม่ทราบ จึงยังมิได้ซ่อมแซมให้คืนดีดังเดิมในรัชกาลนั้น ต่อมาสมเด็จพระเจ้าปราสาททองทรงบูรณะใหม่ รวมเป็นความสูง 25 วา 
แต่ก็ได้พังทลายลงมาอีกรอบในรัชสมัยรัชกาลที่ 5 ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงนำกำลังทหารไปช่วยกันสร้างยอดพระปรางค์ด้วยไม้สักและได้สถาปนาให้เป็นพระปรางค์ประจำชาติ และพระปรางค์วัดมหาธาตุก็ยังคงอยู่ที่นั้นตลอด
พระปรางค์ขนาดใหญ่ ซึ่งในปัจจุบันพังทลายลงมาหมดแล้ว แต่ราชทูตลังกาที่ได้เคยมาเยี่ยมชมวัดมหาธาตุ ในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศไว้ว่า ที่ฐานของพระปรางค์ มีรูปราชสีห์ หมี หงส์ นกยูง กินนร โค สุนัขป่า กระบือ มังกร เรียงรายอยู่โดยรอบ รูปเหล่านี้อาจหมายถึงสัตว์ในป่าหิมพานต์ที่รายล้อมอยู่เชิงเขาพระสุเมรุ ซึ่งเป็นแกนกลางของจักรวาล
ขอขอบพระคุณข้อมูลดีๆจากเว็ปไซต์ https://th.wikipedia.org/wiki/วัดมหาธาตุ_(จังหวัดพระนครศรีอยุธยา)
ซากปรักหักพังของพระพุทธรูปที่ยังคงเหลืออยู่
บรรยากาศโดยรอบก็มีนักท่องเที่ยวแวะเข้ามาเดินเที่ยวชมตลอดค่ะ
ภาพจำลองวัดมหาธาตุในอดีตที่ดูสวยงามและใหญ่โตโอฬารมากๆค่ะ
และหลังจากที่ได้เดินชมและได้เรียนรู้ประวัติความเป็นมาของวัดมหาธาตุแล้วนะค่ะ เดี๊ยนก็ปั่นจักรยานไปยังสถานที่ถัดไปค่ะ
แวะมาอยุธยาทั้งที ต้องไม่พลาดมาพิพิธภัณฑ์แห่งชาติเจ้าสามพระยา ที่รวบรวมเอาวัตถุโบราณและของมีค่าเอาไว้ให้ได้เรียนรู้และศึกษากัน และเป็นครั้งแรกเลยค่ะที่ได้แวะมาที่นี้ เพราะมาเที่ยวอยุธยาทีไร ก็ไม่ได้มาเที่ยวแบบนี้สักทีนะค่ะ มาเที่ยวครั้งนี้เหมือนได้มาศึกษาความรู้ให้ตัวเองด้วยค่ะ

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา นับเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ แห่งแรกของไทยที่มีรูปแบบการจัดแสดงแบบใหม่คือ นำโบราณวัตถุมาจัดแสดงจำนวนไม่มากจนเกินไปและใช้แสงสีมาทำให้การนำเสนอดูน่าสนใจ
เกี่ยวกับพิภัณฑ์แห่งชาติเจ้าสามพระยา
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา สร้างขึ้นเนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรโบราณวัตถุที่พบจากกรุพระปรางค์วัดราชบูรณะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2500 มีพระราชปรารภกับรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ และอธิบดีกรมศิลปากรในสมัยนั้นว่า

โบราณวัตถุ และศิลปวัตถุที่พบในกรุพระปรางค์วัดราชบูรณะนี้ สมควรจะได้มีพิพิธภัณฑสถานเก็บรักษา และตั้งแสดงให้ประชาชนในจังหวัดพระนครศรีอยุธยานี้ หาควรนำไปเก็บรักษา และตั้งแสดง ณ ที่อื่นไม่กรมศิลปากรจึงได้สร้างพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา ขึ้นเพื่อเก็บรักษาจัดแสดงโบราณวัตถุที่พบจากกรุพระปรางค์วัดราชบูรณะ และโบราณวัตถุพบในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา อาคารก่อสร้างด้วยเงินบริจาคจากประชาชน และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระนามสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) ผู้ทรงสร้างพระปรางค์วัดราชบูรณะเป็นนามพิพิธภัณฑ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2504
ขอขอบพระคุณข้อมูลจาก https://th.wikipedia.org/wiki/พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ_เจ้าสามพระยา
เดินเข้ามาด้านในพิพิภัณฑ์ก็เสียค่าธรรมเนียเข้าชมด้านในค่ะ
ค่าธรรมเนียม ชาวไทย 30 บาท ชาวต่างประเทศ 150 บาท โดยเปิดให้เข้าชมทุกวันค่ะ ตั้งแต่เวลา เวลาทำการ 9.00-16.30 น. ไม่เว้นวันหยุดราชการและวันหยุดนักขัตฤกษ์
เดินเข้ามาด้านในก็จะเป็นห้องจัดแสดงวัตถุโบราณล้ำค่าที่เรียกว่าประเมินค่าไม่ได้เลยค่ะ โดยบริเวณดังกล่าวสามารถถ่ายรูปได้ค่ะ
ดูหน้าจั่วไม้บานนี่้ก็เป็นของเก่าของเดิม แกะสลักอย่างสวยงามค่ะ
ระหว่างเดินชมอยู่ก็มีกลุ่มนักเรียนนักศึกษาเข้ามาทัศนศึกษากันด้านใน โดยมีวิทยากรบรรยายให้ความรู้ตลอด ดูน่าสนใจมากๆนะค่ะ
ตามข้อมูลเขียนไว้ว่า ผ้าพิมพ์ลายอย่าง สมัยอยุธยา
เป็นผ้าพิมพ์ลายเทพรำในวงศ์ราชวัตร เครือเทพรำก้านแย่ง  เชิงผ้าลายอย่างเทพพนมภายในกลีบดอกไม้สีองค์  สลับลายประจำยามก้านแย่ง
นอกจากนี้ยังมีพระพิมพ์รูปแบบต่างๆสมัยอยุธยาที่นำมาจัดแสดงให้ได้ศึกษาเรียนรู้กันค่ะ
นอกจากนี้ก็ยังมีเงินพดด้วงแบบต่างๆให้ได้ดูและเรียนรู้กันด้วยค่ะ
เดินขึ้นมาชั้นสองจะมีทางไปชมห้องแสดงวัตถุโบราณล่ำค่าซึ่งไม่สามารถถ่ายรูปได้ค่ะ
 ข้อมูลน่ารู้เกี่ยวกับการเปิดกรู วัดมหาธาตุ และกระแสการตื่นทอง

ช่วงรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ในเดือน กรกฎาคม ปี 2499 มีมติให้กรมศิลปากรทำการบูรณะวัดมหาธาตุ เมื่อเจ้าหน้าที่เริ่มบูรณะได้พบช่องระบายอากาศที่มุมห้องพักภายในองค์ปรางค์ทำให้เชื่อว่ามีกรุอยู่ด้านล่าง จึงรื้อฐานเจดีย์ขนาดเล็กที่ตั้งอยู่กลางพื้นห้องออก พบปลาหินเขียนลายทอง ภายในบรรจุเครื่องทองเต็ม จากนั้นทำการขุดตามแนวดิ่งลงไปเรื่อยๆ ท่ามกลางความยากลำบากที่ต้องผจญกับสายฝนและน้ำได้ดินที่เอ่อท่วมและเมื่อขุดลึกลงไป 17 เมตร พบผอบหินบรรจุพระบรมสารีริกธาตุและทำการเปิดผอบในวันที่ 30 กันยายน พ.ศ.2499 ยังความปลื้มปิติแก่คณะทำงานและประชาชนทุกที่ติดตามข่าวในขณะนั้น นับว่าวัดมหาธาตุเป็นโบราณสถานแห่งแรกที่มีขุดพบกรุที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุและเครื่องทองอื่นๆ
 อย่างไรก็ตามการพบกรุวัดมหาธาตุ ได้ก่อให้เกิดกระแส ตื่นทอง ขึ้นอย่างกว้างขวาง การลักลอบขุดกรุวัดราชบูรณะใน พ.ศ.2500 ก็เป็นผลจากกระแสนี้ ระหว่าง พ.ศ.2499-2501 จึงเป็นช่วงที่กรมศิลปากร้องเร่งลงมือขุดกรุตามวัดต่างๆ ในอยุธยาเพื่อเก็บรักษาสมบัติให้ได้ก่อนที่นักล่าสมบัติจะไปถึง


และหลังจากที่ได้เข้าไปชมโบราณวัตถุล่ำค้าที่พิพิธภัณฑ์เจ้าสามพระยามาแล้วนะค่ะ ดิฉันก็ปั่นจักรยานมาชมโบราณสถานต่อค่ะ และหนึ่งในวัดที่เก่าแก่และสวยงามอีกแห่งในเมืองเก่าอยุธยาแห่งนี้ก็คือ วัดพระศรีสรรเพชญค่ะ
อยุธยาเมืองมรดกโลก โดยอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา เป็นอุทยานประวัติศาสตร์ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้รับการพิจารณาเป็นมรดกโลกเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2534 ในนาม นครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา
 วัดพระศรีสรรเพชญ์ ถือเป็นวัดสวยงามและเป็นวัดต้นแบบของวัดพระศรีรัตนศาสดารามเลยค่ะ
 มารู้จักวัดพระศรีสรรเพชญ์กันค่ะ ว่ามีที่มาอย่างไร? จะได้อ่านเป็นความรู้กันค่ะ

วัดพระศรีสรรเพชญ์ เดิมในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ใช้เป็นที่ประทับ ต่อมาสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ทรงสร้างพระราชมณเฑียรขึ้นใหม่ทางตอนเหนือ แล้วจึงโปรดฯให้ยกเป็นเขตพุทธาวาส เพื่อประกอบพิธีสำคัญต่าง ๆ ของบ้านเมือง จึงเป็นวัดในเขตพระราชวังที่ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา แตกต่างกับวัดมหาธาตุสุโขทัย ที่มีพระสงฆ์จำพรรษา ทั้งวัดมหาธาตุ สุโขทัย,วัดพระศรีสรรเพชญ์ อยุธยา และวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ต่างก็ถูกสถาปนาขึ้นในมูลเหตุการสร้างวัดเดียวกันนั่นคือ "สร้างเพื่อเป็นวัดประจำพระราชวัง"
ต่อมาในปี พ.ศ. 2035 รัชสมัยของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระสถูปเจดีย์องค์ตะวันออก เพื่อบรรจุพระอัฐิของพระราชบิดา สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ และพระสถูปเจดีย์องค์กลางเพื่อบรรจุพระอัฐิของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 ผู้เป็นพระเชษฐา
 หลังจากนั้นในปี พ.ศ. 2042 พระองค์โปรดให้สร้างพระวิหารหลวงขึ้น
ในปีต่อมา พ.ศ. 2043 สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ทรงสร้างพระวิหาร ทรงหล่อพระพุทธรูป ยืนสูง 8 วา (ประมาณ 16 เมตร) หุ้มด้วยทองคำหนัก 286 ชั่ง (ประมาณ 171 กิโลกรัม) ประดิษฐานไว้ในวิหาร ถวายพระนามว่า พระศรีสรรเพชญดาญาณ
ต่อมาในรัชสมัยรัชกาลที่ 1โปรดเกล้าฯ ให้ย้ายมาประดิษฐานวัดพระเชตุพน และ บรรจุชิ้นส่วนซึ่งบูรณะไม่ได้เหล่านั้นไว้ในเจดีย์องค์ใหญ่ที่สร้างขึ้นแล้วพระราชทานชื่อเจดีย์ว่า เจดีย์ศรีสรรเพชญดาญาณ เจดีย์องค์ที่ 3 ถัดมาจากด้านทิศตะวันตกเป็น เจดีย์บรรจุพระอัฐิ ของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ซึ่งสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 4(พระหน่อพุทธางกูร) พระราชโอรสได้โปรดให้สร้างขึ้น เจดีย์ทั้งสามองค์นี้เป็นเจดีย์แบบลังกา
จนกระทั้งในรัชสมัยพระเจ้าทรงธรรมพระองค์โปรดเกล้าฯให้สร้าง พระที่นั่งจอมทอง ตั้งอยู่ใกล้ๆ กำแพงทางด้านติดกับ วิหารพระมงคลบพิตร เพื่อให้เป็นสถานที่ให้พระสงฆ์บอกเล่าหนังสือพระสงฆ์
วัดพระศรีสรรเพชรญ์ 
และราวรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ มีการบูรณะปฏิสังขรณ์วัดหลวงแห่งนี้เป็นครั้งแรก ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระยาโบราณราชธานินทร์ สมุหเทศาภิบาลมณฑลกรุงเก่าได้ดำเนิน การขุดสมบัติจากกรุภายในเจดีย์ พบพระพุทธรูป เครื่องทอง มากมาย และในสมัย จอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้มีการบูรณะวัดนี้จนมีสภาพที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน
 พระเจดีย์ใหญ่ 3 องค์ ภายในวัดพระศรีสรรเพชญ์ ถือเป็นสัญลักษณ์ที่สวยงามที่ดึงดูดตานักท่องเที่ยวทั่วมุมโลกให้มาเยือนชมอย่างไม่ขาดสายค่ะ
และที่ติดกับวัดพระศรีสรรเพชญก็เป็นวิหารพระมงคลบพิตร ซึ่งตอนนี้กำลังปรับปรุงอยู่ กะว่าจะเข้าไปไหว้พระมงคลบพิตรแต่ก็เข้าไปไม่ได้ค่ะ 
 เดี๊ยนเลยขอมาจุดธูปกราบพระและปิดทองค่ะ
 รวมทำบญุกระเบื้องหลังคาวิหารมงคบิตรค่ะ
และหลังจากที่ได้ไหว้พระทำบุญที่หน้าวิหารมงคลบพิตรแล้วนะค่ะ  ่เดี๊ยนก็ปั่นจักรยานตามออกจากวัดพระศรีสรรเพชญมุ่งหน้าไปยังวัดถัดไปค่ะ
ระหว่างก็พบช้าง 3 เชื่อกกำลังพานักท่องเที่ยวเดินชมรอบเมืองเก่าค่ะ
การปั่นจักรยานท่ามกลางสภาพอากาศที่ร้อนรุ่มเร้าดั่งไฟเผาทรวง นอกจากจะได้ออกกำลังขาแล้วนะค่ะ ก็ต้องระวังรถใหญ่วิ่งมาจะสอยเอาไปกินค่ะ  ดิฉันปั่นจักรยานเพื่อมุ่งหน้าไปยังวัดถัดไปคือวัดหน้าพระเมรุค่ะ แต่ก่อนจะถึงวัดหน้าพระเมรุก็ผ่านวัดธรรมิกราช อีกหนึ่งวัดที่มีจุดสนใจอยู่ที่วิหารเก้าห้องภายในวัดค่ะ
ใหนๆก็ปั่นจักรยานแวะผ่านมาทั้งที เข้าไปกราบพระด้านในให้หายร้อนหน่อยค่ะ
เข้าไปกราบพระนอนในวิหารค่ะ

มารู้จักวัดธรรมิกราชกันค่ะ ว่ามีที่มาอย่างไร?
ประวัติวัดธรรมิกราช

สำหรับวัดธรรมิกราช แต่เดิมมีชื่อ วัดมุขราช ตั้งอยู่ใน อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ติดกับพระราชวังโบราณ และวัดพระศรีสรรเพชญ์ ปัจจุบันยังเป็นวัดที่มีพระภิกษุสงฆ์จำพรรษาและปฏิบัติธรรมอยู่ โดยมีพระครูสมุห์ธรรมภณเป็นเจ้าอาวาส

เมื่อพระเจ้าสายน้ำผึ้ง สร้างวัดพนัญเชิงนั้น พระราชโอรส คือพระเจ้าธรรมิกราช โปรดให้สร้างวัดนี้ขึ้นที่บริเวณเมืองเก่าชื่อเมืองอโยธยาศรีรามเทพนคร ทางหน้าประตูด้านทิศเหนือคือ พระเจดีย์สิงห์ล้อม ๕๒ ตัวที่แตกต่างไปจากเจดีย์ทั่วไป นับเป็นพระเจดีย์สิงห์แห่งเดียวในพระนครศรีอยุธยา ก่อนสร้างกรุงศรีอยุธยา ในสมัยต่อมา พระมหากษัตริยได้ทรงบูรณะมาโดยตลอด โดยสังเกตจากร่องรอยการซ่อม และพื้นที่ของวัดที่อยู่ทางทิศตะวันออกของพระนครฯ ตามคติโบราณถือว่าเป็นทิศมงคล ในสมัยสมเด็จพระไตรโลกนาถทรงธรรม (พ.ศ. ๒๑๕๓) ทรงบูรณะวัด และสร้างพระวิหารหลวง เพื่อฟังธรรมในวันธรรมสวนะ (วันพระ) สำหรับพระวิหารพระพุทธไสยยาสน์ (พระนอน) นั้น พระราชมเหสีของพระองค์มีพระราชธิดาประชวร ทรงอธิษฐานไว้เมื่อพระราชธิดาหายแล้วจึงสร้างพระวิหารถวาย น้ำพระพุทธมนต์ในพระวิหารนี้กล่าวกันว่ามี ความศักดิ์สิทธิ์มากมีประชาชนมาอธิษฐาน ขอไปใช้ตามความปรารถนาจำนวนมาก
เศียรพระพุทธรูปหล่อสำฤทธิ์เป็นศิลปะสมัยอู่ทอง เดิมอยู่ในวิหารหลวงมีความศักดิ์สิทธิ์มาก กล่าวว่าผู้ใดเป็นคดีความกันมาสาบานต่อหน้าพระพักตร์คนผิดต้องตายหรือมีอันเป็นไปทุกคนเป็นที่กล่าวขานกันมาก สมัยที่พระยาโบราณราชธานินทร์ เป็นสมุหเทศาภิบาลมณฑลกรุงเก่า จัดตั้งพิพิธภัณฑ์ในพระราชวังจันทรเกษม ได้นำเศียรพระพุทธรูปนี้ไป ต่อมากรมศิลปากรจึงนำไปไว้ที่พิพิธภัณฑ์เจ้าสามพระยา ความศักดิ์สิทธิ์จึงคลายไป
ขอขอบพระข้อมูลจาก https://th.wikipedia.org/wiki/วัดธรรมิกราช
และหลังจากที่ได้กราบไหว้พระที่วัดธรรมมิกราชแล้วนะค่ะ ปั่นจักรยานมาอีกไม่ไกลนักก็ถึงแล้วค่ะวัดหน้าพระเมรุ

วัดหน้าพระเมรุ มีความสำคัญอย่างไร? 
ซึ่งวัดแห่งนี้ ถือเป็นวัดเดียวในกรุงศรีอยุธยาที่ไม่ถูกพม่าทำลาย และยังคงสภาพที่ดีมาก เพราะพม่าได้ไปตั้งกองบัญชาการอยู่ที่วัดนี้ พระอุโบสถเป็นแบบอยุธยาซึ่งมีเสาอยู่ภายใน แต่น่าจะมาเพิ่มเสารับชายคาที่หลังในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พระประธานในอุโบสถซึ่งสร้างปลายสมัยอยุธยา เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องหล่อสำริดขนาดใหญ่ที่สุดที่ปรากฏและมีความงดงามมาก ด้านหลังพระอุโบสถยังมีอีกองค์หนึ่งแต่เล็กกว่า คือ พระศรีอริยเมตไตรย์
สาระน่ารู้เกี่ยวกับวัดหน้าพระเมรุ

วัดหน้าพระเมรุ ตั้งอยู่ที่อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ริมคลองสระบัวด้านเหนือของคูเมือง (แม่น้ำลพบุรีเก่า) ตรงข้ามกับพระราชวังหลวง มีชื่อเดิมว่า "วัดพระเมรุราชการาม" แต่ไม่ปรากฏหลักฐานว่าใครเป็นผู้สร้างและสร้างในสมัยใด พิจารณาได้ว่า น่าจะเป็นวัดสร้างขึ้นตรงที่ถวายพระเพลิงกษัตริย์องค์ใดองค์หนึ่ง ในต้นสมัยอยุธยา

สิ่งสำคัญที่ปรากฏภายในวัดนี้ คือ พระอุโบสถและพระพุทธรูปประธานทรงเครื่องใหญ่ ซึ่งคงสร้างขึ้นราวรัชกาลของพระเจ้าปราททอง หน้าบันของพระอุโบสถเป็นไม้แกะสลักปิดทองที่แสดงรูปพระนารายณ์ทรงครุฑแวดล้อมด้วยเหล่าเทวดา คติดังกล่าวเป็นที่นิยมในสมัยโบราณที่ถือว่าพระมหากษัตริย์ทรงเป็นสมมติเทพ คือเป็นพระนารายณ์อวตาร ดังนั้น หน้าบันของโบสถ์ วิหาร หรือปราสาทราชวังที่พระมหากษัตริย์ทรงสร้างหรือทรงบูรณะก็มักจะทำรูปพระนารายณ์ทรงครุฑเป็นสำคัญ อันมีความหมายว่าวัดแห่งนี้เป็นวัดหลวง
ขอขอบพระคุณข้อมูลสาระดีๆจาก https://th.wikipedia.org/wiki/วัดหน้าพระเมรุ
เป็นวัดเดียวที่รักษาต้นแบบของวัดสมัยกรุงศรีอยุธยามาจนถึงปัจจุบันค
และด้านในอุโบสถก็เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธนิมิตรวิชิตมารโมลีศรีสรรเพชญบรมไตรโลกนาถ ชื่ออ่านยากหน่อยค่ะ ต้องค่อยสะกดทีละตัวเลยค่ะ
ข้อมูลน่ารู้เกี่ยวกับ พระพุทธนิมิตรวิชิตมารโมลีศรีสรรเพชญบรมไตรโลกนาถ ที่อยู่ในวิหารวัดหน้าพระเมรุ
เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องใหญ่ ประดิษฐานอยู่ที่วัดหน้าพระเมรุ มีพุทธลักษณะงดงามมาก สันนิษฐานว่าได้รับการปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง เนื่องจากมีพุทธลักษณะคล้ายคลึงกับพระพุทธรูปปูนปั้น ที่ประดิษฐานอยู่ภายใน เมรุทิศ เมรุมุมของระเบียงคต วัดไชยวัฒนาราม ที่สร้างขึ้นในรัชกาลของพระองค์
ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก https://th.wikipedia.org/wiki/พระพุทธนิมิตรวิชิตมารโมลีศรีสรรเพชญบรมไตรโลกนาถ
และใกล้กับอุโบสถก็เป็นวิหารน้อย เป็นที่ประดิษฐานพระศิลาอายุ 1500 ปีค่ะ มีวิหารน้อยหรือวิหารเขียน ซึ่งมีภาพจิตรกรรมเล่าเรื่องการค้าสำเภาและพุทธชาดกต่าง ๆ แล้วยังมีพระพุทธรูปนั่งห้อยพระบาทสมัยทวารวดีขนาดใหญ่ สลักจากหินปูนสีเขียวแก่ เรียกว่า "หลวงพ่อคันธารราฐ" ซึ่งมีอยู่ไม่กี่องค์ในเมืองไทยเวลานี้ ความเก่าแก่นั้นกล่าวได้ว่าเก่าแก่สมัยสุโขทัย ไล่เลี่ยกับยุคสมัยของบูโรพุทโธ หรือบรมพุทโธ บนเกาะชวาในอินโดนีเซียเมื่อกว่า 1,000 ปีมาแล้ว
พระศิลา หรือ พระคันธารราฐ อายุ 1500 ปีค่ะ 
เดี๊ยนเดินไปยังหลังพระอุโบสถก็จะพบต้นโพธิ์ใหญ่เก่าแก่ยืนตระหง่านมีผ้าสีเหลือมห้อมล้อมไว้  ดูให้ร่มเงาเย็นสบาย แต่ก็มีความน่าเกรงขามและดูขลังไม่น้อยเลยค่ะ
เข้าไปไหว้หลวงพ่อขาว พระพุทธรูปเงินทั้งองค์ มีอายุมากกว่า 500 ปีค่ะ
เข้ามากราบไหว้หลวงพ่อขาวด้านใน เป็นพระพุทธรูปเงินทั้งองค์ค่ะ
ตรงบันใดทางขึ้น ดิฉันเห็นคนกำลังนั่งขายโปสการ์ดหลากหลายรูปแบบค่ะ เพราะแม่ค้าบอกว่า ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวมาไหว้ที่อุโบสถใหญ่แล้วก็ไปวัดอื่นต่อ แต่ไม่เดินมาไหว้พระด้านหลัง ทำให้ไม่มีนักท่องเที่ยวไม่ค่อยรู้เท่าไหร่ค่ะ เดี๊ยนก็เลยช่วยอุดหนุนแม่ค้าหน่อยค่ะ
แม่น้ำป่าสักไหลเชี่ยวและเจิงนองเต็มตะลิงเชียวค่ะ
หลังจากที่ได้กราบไหว้พระที่วัดหน้าพระเมรุแล้วนะค่ะ วัดต่อไปก็คือวัดไชยวัฒนาราม ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวสุดท้ายแล้วค่ะ เพราะดูนาฬิกาในข้อมือ ตอนนี้ก็จะปาไป 5 โมงเย็นแล้วค่ะ
ระหว่างทางที่ปั่นจักรยานมาก็กระหายน้ำมากค่ะ เพราะใช้พลังงานไปเยอะและเหงื่อไหลท่วมตัวเลยค่ะ เหลียวไปเห็นพ่อค้าขายน้ำมะพร้าว เลยปั่นจักรยานไปสกาวซื้อมาดื่มสัก
ขึ่จักรยานมาเรื่อยๆก็มาออกแรงขาแบบเมื่อยสุดๆ ตรงสะพานเนินโค้งข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาเนี่ยแหละค๊า เล่นเอาเดี๊ยนหอบกินเลยค่ะ
ในยามเย็นๆ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา น้ำเจิงนองเต็มตะลิ่ง สุดสวิงริงโก้ อากาศร้อนดีเหลือเกินนะค่ะ แต่ก็ยังดีที่มีลมเย็นพัดมาให้คลายร้อนได้บ้าง
หลังจากขี่จักรยานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา เลี้ยวซ้ายมาอีกไม่ไกลก็ถึงแล้วค่ะ วัดไชยวัฒนารามค่ะ ถือเป็นวัดสวยงามอีกแห่งในอยุธยา เนื่องจากเป็นวัดที่อยู่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้บรรยากาศสวยงาม น่าไปเดินลั๊ลลามากๆค่ะ
มารู้จักวัดไชยวัฒนารามกันเถอะค่ะว่ามีที่มาอย่างไร?

วัดไชยวัฒนาราม หรือ วัดชัยวัฒนาราม ถือเป็นวัดเก่าแก่สมัยอยุธยาตอนปลายในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตั้งอยู่ที่ ตำบลบ้านป้อม อำเภอเมืองจังหวัดพระนครศรีอยุธยา บริเวณริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ทางฝั่งตะวันตกนอกเกาะเมือง

เป็นวัดสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าปราสาททอง พ.ศ. 2173โดยเดิมบริเวณที่ตั้งของวัดแห่งนี้เคยเป็นที่อยู่ของพระราชมารดาที่ได้สิ้นพระชนม์ไปก่อนที่พระเจ้าปราสาททองได้เสวยราชสมบัติเป็นกษัตริย์ เมื่อพระองค์ได้เสวยราชสมบัติ พระองค์จึงได้สร้างวัดไชยวัฒนารามขึ้นเพื่ออุทิศผลบุญนี้ให้กับพระราชมารดาของพระองค์ และอีกประการหนึ่งวัดนี้อาจถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งชัยชนะเหนือเขมรด้วย จึงทำให้มีรูปแบบทางสถาปัตยกรรมส่วนหนึ่งมาจากปราสาทนครวัด
วัดไชยวัฒนาราม ได้ถูกสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2173 โดยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง พระองค์โปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้นบนที่ที่เป็นบ้านเดิมของพระองค์เพื่ออุทิศพระราชกุศลถวายพระราชมารดา แต่ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่าวัดนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งชัยชนะเหนือนครละแวกโดยจำลองแบบมาจากปราสาทนครวัด
ถือเป็นวัดหลวงที่บำเพ็ญพระราชกุศลของพระมหากษัตริย์สืบต่อมาหลังจากนั้นทุกพระองค์ จึงได้รับการปฏิสังขรณ์สืบต่อมาทุกรัชสมัย เป็นสถานที่ถวายพระเพลิงศพพระบรมวงศานุวงศ์เกือบทุกพระองค์ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศสิ้นพระชนม์ก็ได้ถวายพระเพลิงที่วัดนี้
เดินมาเข้าชมด้านในก็จะเป็นทางซุ้มเดินคล้ายๆที่ปราสาทนครธมค่ะ
ก่อนกรุงแตก พ.ศ. 2310 วัดไชยวัฒนารามถูกแปลงเป็นค่ายตั้งรับศึก หลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง วัดไชยวัฒนารามได้ถูกปล่อยทิ้งให้ร้างเรื่อยมา บางครั้งมีผู้ร้ายเข้าไปลักลอบขุดหาสมบัติ เศียรพระพุทธรูปถูกตัดขโมย มีการรื้ออิฐที่พระอุโบสถ และกำแพงวัดไปขาย แต่ในปี พ.ศ. 2530 กรมศิลปากรจึงได้เข้ามาอนุรักษ์จนแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2535
สถาปัตยกรรมภายในวัดไชยวัฒนาราม
มีปรางค์ประธานและปรางค์มุมอยู่บนฐานเดียวกัน พระปรางค์ประธานนำรูปแบบของพระปรางค์สมัยอยุธยาตอนต้นมาก่อสร้าง แต่ปรางค์ประธานที่วัดไชยวัฒนารามทำมุขทิศยื่นออกมามากกว่า บนยอดองค์พระปรางค์ใหญ่อาจเคยประดิษฐานพระเจดีย์ขนาดเล็ก สื่อถึงพระเจดีย์จุฬามณีบนยอดเขาพระสุเมรุ รอบพระปรางค์ใหญ่ล้อมรอบไปด้วยระเบียงคตที่เดิมนั้นมีหลังคา
ภายในระเบียงคตประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัยที่เคยลงรักปิดทองจำนวน 120 องค์ เป็นเสมือนกำแพงเขตศักดิ์สิทธิ์ ตามแนวระเบียงคตตรงทิศทั้งแปดสร้างเมรุทิศ และ เมรุมุม (เจดีย์รอบๆพระปรางค์ใหญ่) ภายในเมรุทุกองค์ประดิษฐานพระพุทธรูป ภายในซุ้มเรือนแก้วล้วนลงรักปิดทอง ฝาเพดานทำด้วยไม้ประดับลวดลายลงรักปิดทองเช่นกัน
เดินมาด้านนอกก็จะเป็นมุมชานเข้าด้านติดริมแม่น้ำค่ะ
พระอุโบสถ สร้างอยู่ทางด้านหน้ากำแพงเมรุทิศเมรุราย นอกระเบียงคต ปัจจุบันเหลือแต่ฐาน ข้างๆมีเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสอง มีกำแพงล้อมรอบโบราณสถานสำคัญแหล่านี้ถึง 3 ชั้น และ มีปรางค์เจดีย์ขนาดย่อมอีกจำนวนหนึ่งซึ่งสร้างเพิ่มในภายหลัง
เมรุทิศเมรุราย ตั้งล้อมรอบพระปรางค์อยู่ทั้งสิ้น 8 องค์ โดยผนังภายในเมรุเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังรูปใบไม้ใบกนก ซึ่งลบเลือนไปมากแล้ว ผนังด้านนอกของเมรุมีภาพปูนปั้นพุทธประวัติ จำนวน 12 ภาพ ซึ่งในปัจจุบันเลือนไปแล้วเช่นกัน แต่เมื่อ 20 ปีที่แล้วยังสามารถเห็นได้ชัด
บรรยากาศโดยรอบก็บรรยากาศ ดูสวยงามโล่งสบายตาดีค่ะ
สำหรับท่านใดที่อยากได้ที่พักอยุธยาติดริมแม่น้ำวิวสวยๆ สามารถคลิ๊กดูที่พักได้ที่เว็ปไซต์ : https://goo.gl/teqJ3E
และยิ่งเข้ามาสู่ช่วงยามเย็นก็ยิ่งมีนักท่องเที่ยวเดินทางแวะมาเที่ยวมาชม มาถ่ายรูปที่วัดนี้เยอะขึ้นค่ะ เนื่องจากบรรยากาศดี มีลมพัดเย็นๆ
และรอบใกล้กำแพงวัดก็เห็นดอกลีลาวดีกำลังผลิดอกออกบานสะพรั่ง กลิ่นหอมหวนระจวนจิตใจ งามวิไลเริ่ดสะแมนแตนยิ่งนักค่
อีกหนึ่งพาหนะสำหรับเดินทางท่องเที่ยวในอยุธยา สำหรับคนที่ไม่อยากปั่นจักรยาน ก็นั่งรถตุ๊กๆสุดกิ๊บเก๋นี้ตะลอนไปเที่ยวรอบเมืองเก่าอยุธยาได้นะค่ะ
สำหรับท่านใดที่อยากได้ที่พักอยุธยาติดริมแม่น้ำวิวสวยๆ สามารถคลิ๊กดูที่พักได้ที่เว็ปไซต์ : https://goo.gl/teqJ3E
เดี๊ยนแหงนดูนาฬิกาในข้อมือตอนนี้เวลา 5 โมงจะครึ่งแล้ว ต้องรีบตะลึงตึงๆปั่นจักรยานให้เร็วรี่ เพื่อนำไปคืนที่ร้านเช่าจักรยานก่อน 6 โมงเย็นค่ะ 
หลังจากที่ได้คืนจักรยานแล้วนะค่ะตอน ใกล้ๆกับร้านเช่าเดินมาอีก 2 บล็อกไม่ไกลนัก ก็มีตลาดถนนคนเดินยามเย็นใกล้สำนักงานเทศบาล ซึ่งที่นี้เรียกตลาดนี้ว่า ตลาดหน้าเทศบาลค่ะ บรรยากาศดูคึกคักมากค่ะ
ตลาดถนนคนเดินยามเย็นที่เมืองอยุธยาคึกคักมากค่ะ
ตลอดสองข้างทางก็เต็มไปด้วยร้านขายอาหารหลายอย่าง ทั้งคาวหวานค่ะ แต่ละอย่างก็ดูน่าทานทั้งนั้นเลยค่ะ
แวะเดินตลาดเห็นร้านขายกุ้งอบวุ้นเส้น กลิ่นหอบฉุนดูน่าทานมากๆ เดี๊ยนเลยขอจัดมาประเดิมลิ้มลองสักหน่อยค่ะ เพราะไม่ได้ทานมานานแล้วค่ะ
กุ้งอบวุ้นเส้นที่ถนนคนเดินแห่งนี้ รสชาติอร่อยใช้ได้ทีเดียวค่ะ  แถมราคาก็ไม่แพงด้วยนะค่ะ
และของฝากอีกหนึ่งอย่างที่มาอยุธยาต้องไม่พลาดที่จะซื้อมาทาน นั้นก็คือ โรตีสายไหมซึ่งเป็นของฝากขึ้นชื่อของที่นี้เลยค่ะ
และหลังจากได้ทานกุ้งอบวุ้นเส้นและซื้อของฝากขนมนมเนยที่ตลาดถนนคนเดินหน้าเทศบาลเมืองอยุธยาไปแล้วนะค่ะ ประมาณ 1 ทุ่ม ดิฉันก็นั่งรถตู้กลับกรุงเทพ
พอถึงท่ารถตู้ที่ฟิวเจอร์รังสิต ก็นั่งรถเมลล์ฟรีกลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ 
จบทริปเที่ยวอยุธยาครึ่งวัน ซึ่งยังมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกหลายแห่งที่ยังแวะไปไม่หมดค่ะ เนื่องด้วยเวลาจำกัด และพาหนะที่เดี๊ยนใช้ในการเดินทางไปยังที่เที่ยวต่างๆ ก็เป็นจักรยาน อาจจะไม่ได้รวดเร็วเท่าพาหนะอื่นที่เร็วกว่ามากนักค่ะ

แต่ถึงอย่างไรเสีย การเที่ยวเมืองอยุธยาในครั้งนี้ก็ได้มาศึกษาเรียนรู้ประวัติศาสตร์มากกว่าได้เดินมาถ่ายรูปอย่างเดียวค่ะ แถมยังได้อาบแดดร้อนๆ ใช่พลังงานแคลอรี่เหงื่อไหลออกตามผิวหนังดี๊ดีค่ะ และก็ยังเป็นเมืองท่องเที่ยวที่เที่ยววันเดียวไม่หมดค่ะ เพราะมีวัดวาอารามอีกหลายแห่ง และยังมีที่เที่ยวอื่นในจังหวัดอีกมากมายค่ะ 

สำหรับท่านใดที่จะแวะมาเที่ยวเมืองอยุธยาและอยากนอนพักค้างเมืองนี้สักคืน ดิฉันขอแนะนำที่พักอยุธยาติดริมแม่น้ำ ให้ท่านเลือกพักดูค่ะ คลิ๊กดูรายละเอียดที่พักได้ที่เว็ปไซต์ : https://goo.gl/teqJ3E

หากใครที่วันหยุดสัปดาห์นี้ ไม่รู้จะแวะไปใหนดี ลองแวะมาขึ่จักรยานลั๊ลลา ศึกษาเรียนรู้ประวัติศาสตร์ตามโบราณสถานของเมืองเก่า เพื่อเล่าภูมิหลังแห่งนี้ดูนะค่ะ เดี๊ยนรับรองว่าท่านจะประทับจิต ติดตราตรึงถึงทรวงใน งามวิไลเริ่ดสะแมนแตนอย่างแน่นอนค๊า

สรุปค่าใช้จ่ายทริปเที่ยวอยุธยา
- ค่ารถตู้โดยสารไปกลับ 80 บาท
- ค่าเช่าจักรยาน 50 บาท ปั่นได้ทั้งวันค่ะ
- ค่าธรรมเนียมเข้าชมโบราณสถาน 40 บาทไปได้ทุกวัด 
- ค่าธรรมเนียมเข้าพิพิธภัณฑ์แห่งชาติเจ้าสามพระยา 30 บาท
- ค่าเสียหายจากการซื้อของกินจุ๊กจิ๊ก 350 บาท 
รวมทริปไปเที่ยววันนี้หมดไป 500 บาทพอดีเป๊ะเลยค่ะ

สำหรับรีวิวท่องเที่ยวประจำเดือนสิงหาคมปี 2560 ก็ขอจบเพียงเท่านี้นะค่ะ ไว้พบกันใหม่ในรีวิวทริปเที่ยวเดือนกันยายนค่ะ และหวังว่ารีวิวเที่ยวเมืองเก่าอยุธยาในบล็อกนี้ น่าจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยค่ะ หากบทความรีวิวท่องเที่ยวในบทความเว็ปบล็อกนี้ มีข้อผิดพลาด อักขระ พิมพ์ผิดๆ ตกๆหล่นๆ หรือไม่ถูกต้องประการใด ดิฉันเองคุณนายเว่อร์ ต้องขออภัยคุณผู้อ่านทุกๆท่านมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ และขอบพระคุณทุกๆท่านที่เสียสละเวลาคลิ๊กเข้ามาอ่านกันค่ะ
จากคุณนายเว่อร์ เทอร์ชอบเที่ยวกินนอน 
บล็อกเกอร์สมัครเล่น 
--------------------------------------------------------
รวมบทความรีวิวบล๊อกท่องเที่ยวเดือนละ 1 ครั้งที่ผ่านมา มีดังนี้ค่ะ (จะทยอยอัพเดทเรื่อยๆ เว็ปบล็อกจะได้ไม่ร้างค่ะ)
รวมคำอวยพรวันสงกรานต์ ข้อความทางออนไลน์ มีคำว่าอะไรบ้าง คลิ๊กดูรายละเอียด>>
น่ารู้กับคำอวยพรวันสงกรานต์ภาษาอังกฤษ-แปลไทย ข้อความส่งทางออนไลน์ให้กับผู้รับอย่างสุขใจ มีคำว่าอะไรบ้าง คลิ๊กดูรายละเอียดบทความค่ะ>>>

เมนูอาหารว่างคาวหวานแบบไทยทานคลายร้อนยอดนิยม มีเมนูอะไรบ้าง>>>
รวมเมนูอาหารว่างคาวหวานไทยๆยอดนิยมช่วยคลายร้อน ที่ใครก็ต้องสรรหามาทานกัน มีเมนูอะไรบ้าง จัดมาให้อ่านกัน คลิ๊กดูรายละเอียดบทความค่ะ>>>
รวมดอกไม้ประจำ 77 จังหวัดในเมืองไทย มีดอกไม้อะไรบ้าง คลิ๊กดูบทวามค่ะ>>
เรื่องน่ารู้กับดอกไม้ประจำ 77 จังหวัดในเมืองไทย มีดอกไม้อะไรบ้าง จัดมาให้อ่านเป็นความรู้กัน คลิ๊กดูรายละเอียดบทความค่ะ>>>
พืชผักสมุนไพรไทยสู้กับโรคหวัด Virus Covid 19 มีอะไรบ้าง คลิ๊กดูบทความค่ะ>
รวมพืชผักสมุนไพรไทยสู้โรคหวัดไวรัส Corona Covid 19 ที่ต้องมีติดครัว ทำอาหารอร่อยได้ประโยชน์ มีอะไรบ้าง จัดมาให้อ่านกัน คลิ๊กดูรายละเอียดบทความค่ะ>>>
คำศัพท์ภาษาอังกฤษที่สามารถทำที่บ้านได้อย่างสำราญใจ คลิ๊กดูบทความค่ะ>>
น่ารู้กับคำศัพท์ภาษาอังกฤษกับงานอดิเรกที่สามารถทำที่บ้านได้อย่างเพลิดเพลินจำเริญใจ มีอะไรบ้าง จัดมาให้อ่านกัน คลิ๊กดูรายละเอียดบทความค่ะ>>
น่ารู้กับคำพูดภาษาอังกฤษสั้นๆ เพื่อสร้างกำลังใจให้ผ่านวิกฤต คลิ๊กดูบทความค่ะ>>
รวมวลีคำพูดภาษาอังกฤษ-ไทย เพื่อสร้างกำลังให้ตนเองและผู้อื่นผ่านช่วงวิกฤต มีคำว่าอะไรบ้าง จัดมาให้อ่านกัน คลิ๊กดูรายละเอียดบทความค่ะ>>
เมนูขนมไทยในชื่อภาษาอังกฤษ ที่ชางต่างชาติต้องลิ้มลองทาน คลิ๊กดูบทความค่ะ>>
น่ารู้กับเมนูขนมไทยในชื่อภาษาอังกฤษ ที่ชาวต่างชาติต้องมาลิ้มลองทานกันสักครั้ง มีขนมอะไรบ้าง จัดมาให้อ่านกันจ้า คลิ๊กดูรายละเอียดบทความค่ะ>>>

แบกเป้เที่ยวกรุงเวียนนาด้วยตัวเอง มีที่เที่ยวจุดถ่ายรูปอะไรบ้าง ตามไปกันเลย>>
แบ่งปันทริปเที่ยวกรุงเวียนนาด้วยตัวเองง่ายๆ มีสถานที่ท่องเที่ยวอะไรให้เริงสุขสันต์กันบ้าง ตามไปชมกันเลย คลิ๊กดูรีวิวที่เที่ยวและการเดินทางค่ะ>>>
รีวิวพาเที่ยวชมพระราชวังเดิม เติมความรู้แบบไทยๆ ไปชมกันเลยจ้า คลิ๊กดูที่เที่ยว>>
เก็บตกวันหยุด พารีวิวเที่ยวชมพระราชวังเดิม เติมความรู้ไทยๆ มีอะไรให้ชมบ้างในโบราณสถานแห่งนี้ คลิ๊กดูรายละเอียดและการเดินทางค่ะ>>>
แบ่งปันรีวิวเที่ยวฮัลล์สตัทด้วยตัวเอง มีสถานที่ท่องเที่ยวอะไรบ้าง ตามไปดูกัน>>
แบ่งปันรีวิวเที่ยวฮัลล์สตัทด้วยตัวเองแบบชิลๆ เมืองนี้มีสถานที่ท่องเที่ยววิวสวยๆอะไรให้ชมกันบ้าง ตามไปดูกันเลย คลิ๊กดูรีวิวที่เที่ยวและการเดินทางค่ะ>> 
แบ่งปันทริปรีวิวเที่ยวเมืองเก่าซาลซ์บูร์ก 1 วัน มีสถานที่ท่องเที่ยวอะไรบ้าง คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>
เปิดโลกกว้าง เดินทางไปเที่ยวเมืองซาลซ์บูร์ก(Salzburg) เมืองเก่าแก่แห่งนี้ มีที่เที่ยวจุดชมวิวสวยๆอะไรบ้าคลิ๊กดูรีวิวที่เที่ยวและการเดินทางค่ะ>>>
เปิดโลกกว้างเที่ยวเมืองเซลอัมซี (Zell am See) เมืองนี้ มีที่เที่ยวอะไรบ้าง คลิ๊กดูที่เที่ยวค่ะ>>
แบ่งปันทริปท่องโลกกว้าง เที่ยวเมืองเซลอัมซี เมืองน่ารัก มีจุดนั่งพักถ่ายรูปสวยๆ ไปดูสิว่ามีที่เที่ยวอะไรบ้าง คลิ๊กดูรายละเอียดรีวิวที่เที่ยวค่ะ>>>
รีวิวเที่ยวมิวเซียมสยาม แหล่งเรียนรู้สุดเก๋ไก๋ มีอะไรอัพเดทใหม่บ้าง ตามไปเที่ยวกันเลย>>
รีวิวพาเที่ยวชมมิวเซียมสยาม แหล่งเรียนรู้ไทยๆสุดเก๋ไก๋ มีอะไรอัพเดทใหม่ๆให้ชมบ้าง ตามไปดูกันเลยจ้า คลิ๊กดูรายละเอียดรีวิวและที่เที่ยวค่ะ>>>
แบ่งปันรีวิวเที่ยวขอนแก่น สุดสะแนนแสนชิล ไปถ่ายรูปวิวสวยงาม คลิ๊กดูที่เที่ยว>>
มาเด้อมาเที่ยวเมืองขอนแก่น สุดสะแนนแสนชิล ขับรถไปถ่ายรูปชมวิวต่างๆ มีที่ใหนเช็คอินบ้าง ตามไปเที่ยวกันเลยจ้า คลิ๊กดูรายละเอียดรีวิวที่เที่ยวค่ะ>>>
รีวิวเที่ยวเมืองอุดร เช่ารถขับตะลอนไปชมสถานที่ต่างๆ มีที่ใหนบ้าง ตามไปเบิ่งกันเด้อ>>
มาม๊ะ..มารีวิวเที่ยวเมืองอุดร เช่ารถออนซอน ตะลอนไปชมสถานที่ท่องเที่ยวต่าง มีที่ใหนบ้าง ตามไปเบิ่งกันเด้อจ้า คลิ๊กดูรายละเอียดรีวิวที่เที่ยวค่ะ>>>
แบ่งปันรีวิวเที่ยวเวียงจันทร์ 1 วัน ไป-กลับ ขยับเดินชมตามที่เที่ยวต่างๆ มีอะไรบ้าง>>>
เก็บตก รีวิวเที่ยวเวียงจันทร์ 1 วัน ไปเช้า-เย็นกลับ มีที่เที่ยวอะไรให้ชื่นชมกันอีกบ้าง ตามไปเบิ่งกันเด้อ คลิ๊กดูรายละเอียดรีวิวที่เที่ยวค่ะ>>>
แบ่งปันรีวิวแบกเป้เที่ยวหนองคาย เมืองนี้มีอะไรมากมายให้ชมจริงๆ คลิ๊กดูที่เที่ยวจ้า>>
มาเด้อมารีวิวเที่ยวหนองคาย 3 วัน 2 คืน ไปชื่นชม ภิรมย์ใจตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ มีที่ใหนบ้าง ตามไปกันเลยจ้า คลิ๊กดูรายละเอียดรีวิวที่เที่ยวค่ะ>>>

รีวิวแบกเป้เที่ยวเมืองอินสบรูค 2 วัน 1 คืน มีที่เที่ยวอะไรให้ชมบ้าง ตามไปดูกันค่ะ>>
แบ่งปันรีวิวแบกเป้เที่ยวอินส์บรูค 2 วัน 1 คืน มีสถานที่ท่องเที่ยวอะไรให้ชื่นชมกันบ้าง ตามไปดูกันเลย คลิ๊กดูรายละเอียดรีวิวที่เที่ยวค่ะ>>
แบ่งปันรีวิวเดินทางไปชมปราสาทน็อยชวานสไตน์ด้วยตัวเองมาฝาก คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>
รีวิววิธีการเดินทางไปเที่ยวชมปราสาทน็อยชวานสไตน์ด้วยตัวเองมาฝากใน 1 วัน มีที่เที่ยวอะไรให้ชมอีกบ้าง ตามไปชมกันเลย คลิ๊กดูรายละเอียดรีวิวที่เที่ยวค่ะ>>
รีวิวพาชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนครกรุงเทพ เสพความรู้แบบไทยๆ ไปชมกันเลย>>
พารีวิวเที่ยวชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนครกรุงเทพ เสพความรู้แบบไทยๆ เดินชมในนิทรรศการจิ๋นซีฮ่องเต้ คลิ๊กดูรายละเอียดภาพรีวิวค่ะ>>>
หรือดูรายละเอียดที่ : http://bit.ly/2l05FdT
รีวิวเที่ยวเมืองมิวนิค เดินชิคๆไปชมสถานที่สวยงามต่างๆ คลิ๊กดูที่เที่ยวค่ะ>>
รีวิวแบกเป้เที่ยวเมืองมิวนิค เดินชิคๆไปชมสถานที่สวยงามต่างๆ มีที่ใหนบ้าง ตามไปชมกันเลย คลิ๊กดูรายละเอียดรีวิวที่เที่ยวค่ะ>>

รีิวิวเที่ยวเมืองลพบุรี เดินยวลยีชมวังเก่า เคล้าความหลัง คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>
รีวิวเที่ยวเมืองลพบุรี เดินยวลยีชมวังเก่า เคล้าความหลังครั้งวันวาน งามอลังการยิ่งนักเอย คลิ๊กดูภาพและรีวิวบทความค่ะ>>
หรือดูบทความรีวิวได้ที่เว็ปไซต์ : https://goo.gl/7ZB3pt

รีวิวเที่ยวสวนผึ้ง ราชบุรี นอนยวนยีชมแกะน้อย งามหยดย้อยอุทยานหินเขางู สวยจุ๊กกรูเมืองโอ่งมังกร  งามอรชรดีเริ่ดสะแมนแตน คลิ๊กดูรีวิวท่องเที่ยวค่ะ>>
รีวิวเที่ยวนครพนม เม.ย.60 ขับมอเตอร์ไซต์ไปมูลนิธิคนชราที่ท่าอุเทน คลิ๊กดูรีวิวค่ะ>>
รีวิวเที่ยวนครพนม นั่งเรือรับลมชมสองฝั่งโขง เชื่อมโยงไทยลาว สวยสกาวองค์พระธาตุ เด่นผงาดสูงเสียดฟ้า นั่งกินปลาร้าอร่อยเริ่ดเว่อร์ คลิ๊กดูภาพรีวิวท่องเที่ยวค่ะ>>

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น