วิธีทำกล่องไฟถ่ายภาพด้วยกล่องลังกระดาษแข็ง ตอนที่ 2

maxresdefault

คนในร้านมีไม่กี่คน และไม่มีใครสนใจผมในเมื่อกล้องถ่ายรูปของผมอยู่ในอกเสื้อจึงไม่มีอะไรแสดงว่าผมเป็นนักข่าวหนังสือพิมพ์ ผมเอากระดาษที่จดบันทึกมาดูอีกครั้ง แล้วทบทวนถึงเรื่องราวต่างๆ จนเห็นว่าน่าจะไปได้แล้ว ผมเดินไปเรื่อยๆ จนถึงสะพานข้ามคลอง เดินขึ้นไปล้วงเอากล้องออกมา ปรับหน้ากล้อง ตั้งระยะอย่างเร็วแล้วกดชัตเตอร์สอง-สามรูปเสร็จแล้วรีบเดินเร็วลงมามีสามล้อมาพอดีนั่งไปยังสถานีรถไฟ ผมไปถึงยังมีเวลาอีกประมาณห้านาทีกว่ารถจะออกผมกลับถึงสำนักงานโดยสวัสดีภาพ นึกขอบใจเพื่อนที่เตือนให้ระมัดระวังตัวทำให้เกิดความรอบคอบจากที่ไม่เคยคิดมาก่อน ที่จริงนั้นผมได้แวบเข้าไปคุยกับผู้พิพากษาที่ศาลเหมือนกัน ท่านเล่าว่านึกสังหรณ์อะไรสักอย่างไม่รู้ จึงขอกำลังตำรวจให้มาดูแลความเรียบร้อย ซึ่งทางกองกำกับการได้ส่ง ร.ต.อ.ลำภู จันทร์ทีม มา ผมไม่ทันได้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ได้ยินรองผู้กำกับร้องว่า “เอ้ย มันยังไงกัน”กับความเป็นจริงอีกประเด็นหนึ่งที่ผมได้รับทราบก็คือ คดีนี้จำเลย๖ คนเป็นตำรวจ

มีคนเดียวที่ถูกสั่งพักราชการคือ จ.ส.ต.พาน ซึ่งอ้างว่าเขาป่วยเป็นวัณโรคนั้นทางตำรวจเป็นผู้จ่ายค่าทนายความให้ทั้งหมดเพราะถือว่า เหตุเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่จับกุมผู้ต้องหา ตำรวจอีก ๕นายจึงไม่ถูกพักราชการ แถมแต่งตำรวจไปฟังคำพิพากษาเพราะมีความเชื่อว่าคงจะปล่อยเหมือนสองศาลที่ผ่านมาแล้ว ไม่มีใครบอกได้ว่า ส.ต.ต.ปราโมทย์พกปีนติดตัวเข้าไปในศาลหรือเปล่า หรือฝากไว้ข้างนอกบัลลังก์เมื่อออกมาจึงคว้ามาควงท้าทายถึงจะห่างกันระหว่างเชียงใหม่กับฉะเชิงเทรา แต่พฤติกรรมไม่ต่างกันลักเท่าไหร่ เรื่องของอาชญากรรมจะว่าไปแล้ว หาได้จบลงตรงที่มีผู้ประกอบมัน แล้วเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้พิทักษ์ลันติราษฎร์ออกมาเต้นๆ แล้วก็ให้เกิดอาการคลื่นกระทบฝังจนกระทั่งประชาชนทั่วไปลืมแล้วก็ว่าได้ในขณะเดียวกัน การทำงานสมัยนั้นจะไปเซ้าซี้ทุกวี,ทุกวันก็ทำได้ยากยิงเรื่องอยู่ไกลเมืองหลวงด้วยแล้วถึงจะมีผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดนั้นๆ  กล่องไฟถ่ายรูปlightbox ก็ใช่ว่าจะติดตามถามไถ่ได้ง่ายนัก แล้วยิ่งอิทธิพลของบุคคลในเครื่องแบบประกอบกรรมเสียเองด้วยแล้วคงต้องทำได้เพียงไม่รู้ไม่ซี้กันไปแต่บังเอิญข่าวนี้เป็นข่าวเดียวที,เรียกได้เต็มปากว่า “สภู๊ป” ทั้งข่าวและภาพพร้อม ได้ข่าวมาแล้วเขียนไปพร้อมกับนึกจะขยักตรงไหนเอาไว้วันรุ่งขึ้นก็ย่อมทำ1ได้ “เดลิเมล์” ยุคนั้นจะว่าไปแล้ว เมื่อใดที่มืชื่อนักข่าวปรากฏหรากำกับข่าวนั้นๆ ละก็ เชื่อขนมกินได้ว่ามืความละเอียดลออที่สมัยนี้มักนิยมเรียกกันว่า “ขุดลึก” นั่นแหละ และเป็นที่น่าชื่นใจเมื่อ“เดลิเมล์” ได้กลายเป็นหนังสือเช้าที่มียอดขายเป็นอันตับสองรองมาจาก“พีมพัไทย”ผมยังนึกถึงเมื่อตอนตระเวนข่าวรอบปายใปยังที่เกิดเหต  photolightboxราคา คนละแวกนั้นจะเรียกขานออกมาดังๆ “พิมพ์ไทยมาแล้ว” และเมื่อความนิยมกลับมาตีตื้นขึ้น เสียงเรียกขานมักจะกลายเป็น “เดลิเมล์มาแล้ว”พวกเราก็จะยิ้มให้เป็นเชิงขอบคุณไปในตัวข่าวจ่านายสิบตำรวจกับนายสิบตำรวจแถมพลตำรวจรวม ๖ นาย(ไม่นับพลเรือนอีก ๒) ประกอบกรรมอื้อฉาวโดดหนีศาลแถมยังควงปีน พ ลตำร’วจเอกเน่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำ?วจท้าทายเช่นนั้นทำให้อธิบดีเผ่า ศรียานนท์ “เจ้าพ่อ” ตัวจริงเสียงจริงทนไม่ได้ หลังจากเหตุการณ์เกิดและปรากฏเป็นข่าวขึ้นมาแล้ว ถามไถ่กันในวงตำรวจแล้วจึงเรียก พ.ต.ต.สวงศ์ วุฒินันท์ ผู้กำกับกองทะเบียนติดตามเอาตัวมาให้ได้พ.ต.ต.สวงศ์ซึ่งเคยเป็นรองผู้กำกับตำรวจฉะเชิงเทราจึงติดต่อกับร.ต.ท.เชาวน์ ธนะสุกาญจน์ ผู้มีฉายาในขณะนั้นว่า

“สิงห์ลำพอง” ทำงานที่กองปราบปรามให้ร่วมทำงานนี้ด้วย และหลังจากหารือกันแล้วและมีสายสืบได้เรื่องมารายงานว่าไปหลบตัวอยู่ทางภาคใต้ก็เตรียมการที่จะเดินทางไปการเตรียมการของ ร.ต.ท.เชาวน์ทำให้ บ.ก.สมบูรณ์วิริยคิริ ได้เเรื่อง และเห็นว่าเป็น “ข่าวเดี่ยว” มาแต่ต้นแล้ว จึงขอร่วมเดินทางไปด้วยร.ต.ท.เชาวน์นั้นมีความสนิทชิดเชื้อกับคุณสมบูรณ์ชนิดที่น่าจะเรียกได้ว่าถ้าทำคดีใดแล้วคุณสมบูรณ์จะรู้เรื่องคดีนั้นอย่างลึกซึ้ง สามารถน่ามาเขียนเป็นสารคดีได้คุณสมบูรณ์โด่งตังทางข่าวอาชญากรรมก็เพราะความสนิทกับนายตำรวจหลายต่อหลายผู้คน แต่ละคนล้วน “มือปราบ” แทบจะทั้งนั้นผมนำเอารายละเอียดส่วนนี้มาเพิ่มเติมก็เพราะคิดว่าการนำเ.สนอเมื่อสามารถจะจบได้ ไม่ให้ผู้อ่านสับสนหรือต้องรอถึงวันมีเหตุการณ์นั้นๆแล้วจึงหยิบมาเขียนก็คงไม,ดีเท่าเก็บรวบเสียเลย จะเรียกว่าดูหนังรวดเดียวจบก็ว่าได้ คุณสมบูรณ์ร่วมเดินทางไปกับสองนายตำรวจระดับ“อัศวิน” ตู้ไฟถ่ายรูป  ตรงดิ่งไปหาดใหญ่ก่อน เรียกหาเจ้าของท้องที่มาคุยกัน เจ้าของท้องที่ย่อมให้ความร่วมมือ “สายสืบ” ประจำท้องที่ย่อมแม่นยำกว่าใครอื่น เมื่อมอบหมายระยะแรกเริ่มแล้ว พ.ต.ต.สวงค์ขอกลับเข้ากรุงเทพฯก่อนพร้อมกับลัง ร.ต.ท.เชาวน์ว่าหากมีอะไรก็รีบบอกจะกลับมาโดยเร็วทีสุด

กล่องไฟถ่ายรูป


Leave a comment