Nad C298 - Purifi Eigentakt Classs D Power Ampfier
NAD ในอดีตในห้วงความจำผมนั้น จำได้ว่าเคยเล่นตั้งแต่สมัย 320BEE (Int amp) ซึ่งให้เสียงค่อนข้าง flat และ muddy หน่อยๆ เรียกว่าเป็นแอมป์ที่ไม่ค่อยมีบุคลิค ฟังอะไรก็ไหลไปเรื่อยๆ ไม่ตื่นเต้น ไม่โปร่ง ไม่มีไดนามิคมากนัก
แต่ปัจจุบันเวลาผ่านไปสิบกว่าปี NAD เปลี่ยนไปจนจำไม่ได้ ถ้าเป็นชีวิตมนุษย์ก็คงเป็นเพื่อนสาวที่หน้าเฉิ่มๆ ธรรมดาๆ ไม่แต่งหน้า ไม่มีจุดเด่นอะไรเลย
แต่เวลาผ่านไป เราไปเจอเธอบนจอทีวี หรืองานอีเว้น เธอผ่านการโมมาเต็มที่ ทั้งจมูก ปาก หน้า v shape พูดๆง่ายๆก็คือเราจำเธอไมไ่ด้ ถ้าเธอไม่มาทักเรา
ที่กล่าวเช่นนี้ไม่เกินจริงแต่อย่างใด เพราะจากเดิมที่ NAD ใช้เทคโนโลยี คลาส AB แบบเดิมๆ ยังคงผลิต CD Player แบบอนุรักษณ์นิยม
วันนึง Vision ของเจ้าของทำให้บริษัทเปลี่ยน Mission ไปลุย Streamer และเปลี่ยนเทคโนโลยีภาคขยายไปเป็น Digital / Class D
ผลลัพธ์ที่ว่านั้นทำให้เราแทบจำ NAD ไม่ได้
และวันที่ผมได้มีโอกาศฟัง power amp เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด Class D ที่เลือกใช้ภาคขยาย Purifi Eigentakt Classs D นั้นก็ทำให้ผมเปลี่ยน mind set และความจำที่มีต่อ NAD แทบไม่ทัน
Base on Review จากนักรีวิวหลายๆสำนัก รวมถึง Eisa Award 2021, Absolute sound 2021 ก็ต่างยกย่องว่านี่คือ power amp ที่ควรค่าแก่การฟัง และนักรีวิวทุกคนพูดตรงกันว่าแนวเสียงของแอมป์คลาส D ภายใต้ Purifi Eigentakt ตัวใหม่นี้ มันให้เสียงที่โปร่งใส / Transparent / Detail / และเบสที่กระชับ และ Natural มากๆ และที่สำคัญมันยังให้ Low Distortion น้อยมากๆ จนรุ่นพี่ของมัน (M23) ถูกแซวว่าเป็น King of Benchmark คือประมาณฝรั่งล้อว่า วัดค่ากี่ทีก็ชนะชาวบ้านเขา เหมือนเป็นสิงห์หน้าคียบอร์ด หรือสิงห์สเปก แต่ลงสนามจริงจะได้เรื่องหรือฟังดีหรือเปล่า (ฝรั่งหลายๆท่านก็ชอบนำไปเทียบกับ แอมป์ Benchmark AHB2 ที่ใช้เทคโนโลยี THX AAA ที่ให้ความเพี้ยนต่ำมากกว่านี้อีก)
ตอนที่ผมทดลองต่อฟังกับ Source Tidal / Roon ผ่าน Esoteric N-05XD และใช้ลำโพง Klipschorn AK6 นั้น ผลลัพธ์ที่ได้ไม่เกินเลยจากสิ่งที่นักรีวิวกล่าวไว้แม้แต่น้อย เพราะแนวเสียงที่ได้มีรายละเอียดต่างจากแอมป์ NAD รุ่นเก่าๆแบบฟ้ากับเหว
นี่เป็น power amp ที่ให้ดีเทลดีมากๆตัวนึง รายละเอียดดี จนอาจจะพูดได้ว่า จ่ายเงินมากกว่านี้อีกสัก 3-4 เท่าก็ไม่สามารถก้าวข้ามขีดจำกัดตรงย่านกลางแหลมนี้ไปได้เท่าไรแล้ว (ไม่ได้บอกว่ากลางแหลมและ detail มันดีกว่าแอมป์แพงๆกว่านี้นะครับ แต่บอกว่ามันให้ดีเทลได้ดีมากจนเกือบเท่าหรือเท่ากับแอมป์ค่าตัวแพงๆจนแทบแยกไม่ออก ในขณะที่ราคาค่าตัวของ C298 มันถูกจนน่าใจหาย) ในขณะที่ย่านที่อาจจะนำมาพูดไดว่าเป็นจุดอ่อนของมันก็อาจจะเป็น กลางต่ำที่ไม่อิ่มเอิบ แรงหวดและน้ำหนักเบาในย่านต่ำอาจจะไม่เปรี้ยงปร้างหรือมากจนถูกใจคอ Bassaholic นัก
และแน่นอนว่าเสียงไม่เนิบนาบตามแบบฉบับแอมป์ Class A ที่ฟังนุ่มนวล แต่ NAD C298 รักษาความเที่ยงตรงเอาไว้ ก็ต้นฉบับมันบันทึกมาแบบนี้ จะให้มันย้วยไปเพื่ออะไร แน่นอน มันชัด แน่นอน มันไม่ warm และมันก็ไม่คม ไม่รู้จะบอกว่าบุคลิคมันคืออะไร เพราะมันไม่มีบุคลิค มันเป็นตามลำโพงและอุปกรณ์ของคุณ มันเป็นแอมป์ที่พูดได้เต็มปากว่าบุคลิคมันกลางสุดๆ
ต้องยกความดีความชอบให้กับ Purifi Eigentakt Classs D ที่เปลี่ยนเสียงของ Class D เดิมๆที่ทั้งทึบ ทั้ง flat และไร้ชีวิตชีวาไป
เทคโนโลยี คลาส D ในช่วง 4-5 ปีนี้พัฒนาไปแบบก้าวกระโดด จนนักรีวิวบางคนบอกว่า ยุคสมัยในอีก 5 ปีข้างหน้า มันจะมาแทน Class AB แบบหมดสิ้น เพราะข้อดีที่ให้เสียงเทียบเท่ากัน แต่ใช้ทรัพยากรน้อยกว่า ทั้งในเรื่องน้ำหนักแอมป์ และความร้อน รวมถึงราคา
ข้อดีคือ รายละเอียดที่โปร่ง ชัดเจน ในระดับต้นๆ เท่าที่เคยฟังมา
ข้อเสียก็คือ ในย่านกลางต่ำอาจจะให้น้ำหนักเบสไม่มากเหมือนแอมป์ราคาแพงๆ
แต่เมื่อหันมามองข้อจำกัดว่าราคาค่าตัวมันแค่ 6 หมื่นกว่า เราก็ลืมข้อเสียนี้ไปได้
ส่วนตัวมองว่าโทนเสียงของ NAD นั้นติดไปทาง Natural จับกับลำโพงและชุดไหนก็ให้เสียงออกมาเป็นบุคลิคเสียงของชุดนั้น แต่วันแรกที่นำมาต่อนั้นผมพบว่าเสียงค่อนไปทาง Bright นิดๆ เบสไม่เยอะมาก รายละเอียดดี แต่กลางต่ำจะติดบางนิดๆ เลยสรุปว่า ว่าน่าจะช่วยทำให้ลำโพงที่เสียงทึบๆ ตันๆ หรือรายละเอียดน้อย ติดปีกและฟังดีขึ้นมาได้มากๆ แต่ถ้านำไปจับกับลำโพงที่รายละเอียดดีมากอยู่แล้ว อาจจะต้องงระวังนิดนึงว่ามันจะสดหรือ bright เกินไป เช่นจับกับลำโพง Horn ที่อาจจะฟังแล้วบางหรือพุ่งสดได้
แต่น่าประหลาดอย่างนึงที่ ต่อมาหลังจากเปิดเผา เทสไว้ (กลัวมันจะดับเวลาเปิดไปนานๆเหมือนบางยี่ห้อ ฮาาาา ถถถถถ) วันรุ่งขึ้นมาฟัง มันไม่บางแล้ว กลายเป็นกำลังดี ไม่ forward และไม่ทึบไม่ muddy ฟังชัด รายละเอียดดี เบสก็มาเยอะขึ้น เป็นรูปเป็นร่าง แต่ไม่กลบรายละเอียด เรียกว่าไม่มีบุคลิคเลยก็ว่าได้
โดยรวมเป็นแอมป์ที่มีจุดเด่นในเรื่องรายละเอียด และฟังดี จนอาจจะเรียกว่าเป็นแอมป์ที่เป็นบั๊กเรื่องราคาในยุคนี้และอาจจะหาแอมป์เสียงแบบนี้ในช่วงราคานี้ไม่ได้อีก
สาเหตุที่พูดแบบนี้ก็เพราะว่านี้เป็นเพาเวอร์แอมป์ตัวแรกที่ NAD ใช้เทคโนโลยีใหม่อย่าง Purifi Eigentakt Classs D (ปัจจุบันมีแค่สองตัว อีกตัวคือ M23) ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ NAD เพิ่งลองนำมาใส่ครั้งแรก และที่สำคัญก็คือ NAD ทดลองใส่มาในตัวถังและงานประกอบภายนอกภายใต้ Classic series ที่ถือเป็นซีรี่ย์สำหรับนักเล่นที่ต้องการแอมป์ราคาย่อมเยาว์ ไม่แพง ภายหลังจากได้รับการตอบรับมากมายและรางวัลจากหลายสื่อ
NAD ก็ยัดเทคโนโลยีเดียวกันนี้ลงใน power amp อีกตัว แต่เป็นบน Master Series นั่นคือ NAD M23 ซึ่งผมลองฟังดูแล้ว ผมพบว่าแนวเสียงมันเหมือนกันในแง่ของ Detail และรายละเอียด แต่ต่างกันตรงที่จูนเสียงมาหนากว่ามาก ทั้งในย่านกลางต่ำและเบส ซึ่งส่วนตัวผมลองฟังแล้วผมกลับชอบเสียงในตัว C298 มากกว่า จูนง่ายกว่า กลับกัน M23 นั้นฟังในหลายๆซิสเต็ม รู้สึกว่าย่านเบสนั้นขึ้นมากวนกลางต่ำและดีเทลลดหายไปขาดความกระชับกระเฉงพอสมควร จึงน่าจะเหมาะกับลำโพงอีกแบบ และเหมาะกับเพลงในอีกแนวนึง เช่นแนว vocal ช้าๆ เพลงไทยน่าจะเหมาะครับ
NAD C298 ให้กำลังขับ 185 watt ที่ 8 ohm x 2 ch
และสามารถ bridge ได้ กลายเป็น 650 watt ที่ 8 ohm x 1 ซึ่งต้องใช้แอมป์สองตัว
ส่วนตัวคิดว่า NAD C298 เป็นแอมป์คนยากที่ให้เสียงเข้าได้กับอุปกรณ์เกินราคาและมันเข้าได้ทั้งซิสเต็มกลางๆไปจนซิสเต็มแพงๆ ชุดใหญ่ๆได้ เป็น power amp ที่มี performance นำพาลำโพงไปได้ไกลมากๆ
เรียกว่ามันเป็นของแรงที่อยู่ภายใต้ตัวถังธรรมดาๆ ที่ดูแล้วเราจะไม่รู้ว่านี่ตือของแรง ของดี
เหมือนเศรษฐีแต่ใส่เสื้อผ้าธรรมดา หรือเหมือนรถแข่งเครื่องแรงแต่อยู่ภายใต้ตัวถัง vios ธรรมดาๆ หรืออาคารตึกแถวที่ภายนอกดูเก่าๆ แต่ภายในนั้นได้รับการออกแบบและตกแต่งแบบเต็มสูบ จนเข้าไปแล้วงงว่านี่ข้างในกับข้างนอกทำไมมันต่างกันเช่นนี้
ข้อดี
1.ิ Detail , Transparent รายละเอียดดี
2. Low Distortion ความเพี้ยนต่ำมาก
3. ราคาถูกมากๆๆ แทบจะเป็นราคาบั๊กในวงการเครื่องเสียง ในขณะที่ตัวใหท่ที่ชื่อรุ่นว่า M23 นั้นราคาอัพขึ้นไปแล้ว (ตามความหรูหราและตัวถังและ series ที่เป็นรุ่นเหนือกว่า)
ข้อเสีย
1. หน้าตาไม่สวย
2. ปุ่ม power เปิดยากต้องกดดีๆ เปิดช้า จริงๆมันเปิดแล้ว แต่เราไม่รู้ บางทีไปกดซ้ำ มันก็จะปิด
3.แนวเสียงไม่เหมาะกับคนชอบเสียงสไตล์มี color ไปทาง warm มากๆ เพราะแอมป์เน้นความเที่ยงตรง ชัดเจน ไม่ติดโทนไปทาง warm ถ้าคุณชอบทางหวานๆ แนะนำให้ไปเล่นแอมป์หลอด
เมืองนอกนิยมนำไปทดสอบเทียบกับ Bryston และพบว่าราคาต่างกัน 3-4 เท่าแต่คุณภาพแทบจะขี่คอกันมา
ปัจจุบันหลายๆผู้ผลิตระดับโลก หรือ Hi-End ก็เบนเข็ม หันหัวเรือกันมาทางนี้กันแล้วไม่ว่าจะเป็น
- Hypex N-Core: Trinnov , NAD ยุคก่อน
- Pascal UMAC: StormAudio :
- Purifi Eigentakt: NAD , T+A A200
- ICEpower: Jeff Rowland, PS Audio, Bang & Olufsen
Technology Class D เดี๋ยวนี้พัฒนาไปเร็วมาก เสียงเท่าๆกันกับ Class AB แต่ร้อนน้อยกว่า Efficient กว่า และเบากว่ามาก ในอนาคตเราคงจะเห็นผู้ผลิตหลายๆรายเบนเข็มกันมาทางนี้เกือบหมด เหมือนที่ปัจจุบันผู้ผลิตเครื่องเสียง 2 ch รายไหน ถ้าไม่หันมาทำ Streamer ก็คงไม่ทันแล้ว
และหากเรายังมองว่า Class D เสียงไม่ดีนั้น ผมว่าปัจจุบันนั้นมันไม่สามารถพูดคำนั้นได้อีกต่อไปแล้วครับ
ปล เป็นแอมป์ที่ให้ความคุ้มค่าเรื่องเสียงกับราคาที่จ่ายไปสูงมากๆๆๆๆ