Preview : ROSE’s SPECIAL

.

.

.

CUT CHAPTER 33

 

 

 

 

“ผมอยู่นี่…” เขายิ้ม จูบอีกครั้งเพื่อย้ำคำนั้น “ผมอยู่ตรงนี้นะครับ”

“จินยอง…”

ยูคยอมเรียกชื่ออีกคนก่อนจะเผลอบีบเอวเล็กในชุดนอนตัวโคร่งอย่างไม่รู้ตัวเมื่อเบต้าที่นอนข้างกายเมื่อครู่ขยับขึ้นมานั่งทับบนหน้าท้องของเขาไว้แล้วเบียดจูบลงมาหาอีกครั้ง จินยองงับริมฝีปากเขาด้วยความนุ่มหยุ่นเหมือนกับการสัมผัสเจลลี่ก่อนจะเปิดให้เรียวลิ้นเล็กเป็นฝ่ายสอดเข้ามาหาก่อนด้วยรอยยิ้ม

“อืม…”

จินยองจูบอีกฝ่ายด้วยความคิดถึง ลมหายใจขาดห้วงในทุกครั้งที่แลกสัมผัสของปลายลิ้นในโพรงปากร้อนของอีกคนก่อนจะถูกไล่ต้อนกลับด้วยการถูกงับกลีบปากจนเผลอหลุดครางออกมา ทุดท้ายสองแขนเล็กค้ำกับเตียงก็ค่อยๆลดตัวลงจนทุกส่วนของแผ่นอกสัมผัสกับอวัยวะส่วนเดียวกันจนได้ยินเสียงหัวใจของกันและกันแล้วกอดรอบคอแกร่งไว้แน่น

“อ๊ะ! คุณยูคยอม…อืออออ”

จูบถูกถอนออกเช่นเดียวกับโลกของเขาที่พลิกกะทันหันจากการถูกกดลงกับเตียงก่อนที่ร่างสูงจะแทรกตัวลงมาตรงกลางและแนบริมฝีปากเข้าหาอีกครั้งจนทำให้เผลอขยุ้มเสื้ออีกคนอย่างติดเป็นนิสัย

ความนุ่มและลมหายใจที่ร้อนพาให้สติของเขาขาวโพลนเหมือนเกล็ดหิมะในเดือนธันวา ยูคยอมจูบเขาอย่างอ่อนโยน อีกฝ่ายแลบลิ้นเลียไปตามแนวของกลีบส้มให้เขาค่อยๆเปิดริมฝีปากออก มอบจุมพิตหวานที่ทำให้เขาเหมือนลอยจากเตียงก่อนจะสอดลิ้นเข้ามาแล้วแกล้งงับเบาๆทำให้เขายิ่งต้องการก่อนจะจูบตอบสัมผัสนั้นด้วยความรู้สึกที่ไม่ต่างกัน

“ผมรักคุณ…”

คำนั้นถูกเอ่ยก่อนจะย้ำด้วยสัมผัสร้อนจากริมฝีปากแนบลงที่แก้ม ก่อนจะขยับจูบไปทั่วใบหน้าหวานอย่างรักใคร่ทำให้จินยองกอดร่างสูงไว้แน่น ยูคยอมประทับรอยในแต่ละจุดด้วยความอ่อนโยนทำให้เขาอยากร้องไห้ออกมา สุดท้ายเองก็เป็นจินยองที่ประคองใบหน้าอีกฝ่ายไว้แล้วเงยหน้าจูบอีกครั้งแทนทุกคำที่ล้นในใจจนไม่สามารถพูดออกมาได้ทั้งหมด

“อะ? คะ…คุณยูคยอม อื้อ…”

 

 

 

 

.

.

.

 

 

Baby Lilly

 

 

 

 

อี้เอินเคยเกลียดโรงพยาบาล แต่หลังจากที่เขานอนมาได้กว่าห้าวันก็ทำให้รู้สึกคุ้นชินกับกลิ่นสะอาดได้อย่างแปลกประหลาด เพราะแบบนั้นในวันนี้ที่ตื่นมาเพื่อต้องออกจากห้องพัก เขาก็รู้สึกแปลกอยู่ไม่น้อย

“…มองอะไรครับ”

“แค่กๆๆ …เปล่าครับ”

จะแปลกมากกว่าก็สายตาของแจบอมที่มองเขามาตั้งแต่เมื่อครู่นี่แหละที่ทำให้ต้องหันไปดุ และพอเห็นสีแดงที่หูอีกฝ่ายมือบางก็หยิกหลังกว้างแรงๆจนร่างหนาร้องเสียงดังแล้วกระโดดออกจากเตียง

“โอ้ย หยิกทำไมล่ะครับ ผมก็เห็นมาหมดแล้วไม่เห็นจะเป็นอะไ— เฮ้ย!”

“หันไปเลยนะ!”

หมอนใบใกล้มือถูกเขวี้ยงออกไปกระแทกกับโซฟาด้านหลังเมื่อร่างสูงหลบมันได้อย่างเฉียดฉิว แจบอมเสียวสันหลังวาบเมื่อคิดภาพซ้อนขึ้นมาว่าเมื่อครู่เป็นมีดในครัวที่อีกคนหยิบจับอยู่บ่อยๆก่อนสายตาไม่รักดีจะเผลอวางที่หน้าอกของคนตัวเล็กอีกครั้ง

และครั้งนี้เขาก็ถูกหมอนอีกใบอัดเข้าที่หน้าจนหงายหลังทันที

“ลามก!”

ใบหน้าเล็กแดงไปทั้งหน้า สองมือกอดรอบตัวเองให้พ้นจากสายตาอีกฝ่าย สัมผัสนุ่มจากอกของตัวเองเป็นสิ่งที่เขาเองก็ไม่ค่อยชินมากเท่าไหร่ แต่เพราะว่าเพิ่งคลอดเจ้าตัวเล็กได้ไม่นาน หน้าอกที่ขยายมากขึ้นเพื่อให้น้ำนมกับบุตรก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

จะมีก็แค่สายตาของอิมแจบอมที่ชอบมองมาตลอดเนี่ยสิที่ทำให้เขาอยากจะฟาดเสียให้เข็ด

“แผลผ่าตัดยังไม่หายดีเลย อย่าใช้แรงเยอะสิครับ”

แจบอมเกาท้ายทอย เดินไปหยิบหมอนกลับมาวางที่เดิมของมันก่อนจะเข้าไปกอดคุณแม่มือใหม่ที่ยังคงนั่งอยู่ยนเตียงโดยที่พยายามไม่หยุดสายตาที่ส่วนนุ่มนิ่มนั้นอีกครั้งอย่างสุดความสามารถ แต่ตัวหอมๆกับผิวลื่นมือที่เขาสัมผัสอยู่ก็ยิ่งทำให้รู้สึกย่ามใจ พักนี้ผิวอมชมพูของอี้เอินยิ่งเปล่งปลั่งเป็นพิเศษ จะจับจะหอมตรงไหนก็มันเขี้ยวไปเสียหมด

“ไม่เนียนอีกแล้วอิมแจบอม”

“นิดหน่อยเอง…”

“ออกไปเลย” อี้เอินดุไม่ค่อยจริงจังนัก แต่น้ำเสียงหวานติดห้าวก็พูดความจริง “เดี๋ยวจินยองกับยูคยอมก็มาแล้ว”

หลังจากวันคลอดที่ทั้งสองคนเข้ามาร่วมยินดี ในทุกๆช่วงเช้าก็จะเป็นเรื่องปกติที่จินยองจะแวะเข้ามาหาพวกเขาอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นผลไม้จากเรือนกระจกที่ทั้งสองคนปลูกบางครั้ง อาหารบำรุงสุขภาพหลังคลอด รวมไปถึงของเล่นเครื่องใช้ต่างๆก็ล้วนแต่ติดมือมาตลอด จะมีบ้างบางครั้งที่จะเห็นคุณชายคนเล็กของตระกูลคิมแวะมา เพราะตอนนี้ดูเหมือนยูคยอมจะช่วยแบ่งรับงานบริหารบางส่วนเมื่อซอกจินไปทำงานแพทย์เสียจนไม่มีเวลาว่างสักเท่าไหร่

จะมีก็วันนี้ที่เหมือนทั้งคู่จะได้มีเวลาว่างอย่างจริงจังสักครั้งและมาช่วยพวกเขารับหนูน้อยยองกวังที่เพิ่งมีอายุได้เพียงห้าวันเศษกลับบ้านด้วยกัน

อี้เอินแทบไม่อยากจะนึกถึงช่วงเวลาที่เขาอุ้มท้องมาตลอดเก้าเดือนสักเท่าไหร่นัก ถึงแม้ว่าจะแทบนับวันรอที่จะได้เห็นหน้าลูกชายของตัวเองแทบไม่ไหว แต่อุปสรรคเล็กน้อยไปจนถึงเรื่องใหญ่ที่เขาพบเจอในระหว่างนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีสักเท่าไหร่

เขาเคยคิดว่าช่วงแพ้ท้องเป็นหนึ่งเดือนที่ยาวนานที่สุด ทั้งอาการปวดหัว ต้องฝืนทานอาหารในปริมาณที่มากกว่าปกติ การดูแลเป็นพิเศษที่ไม่ถนัด และต้องพยายามไม่ฝืนออกแรงทั้งๆที่เขานั้นไม่ถนัดอยู่นิ่งเหมือนทำให้อี้เอินไม่เป็นตัวของตัวเอง

แต่ใครจะคิดว่าในช่วงหกเดือนทุกอย่างจะยิ่งมีการเปลี่ยนแปลงมากขึ้น ไม่ว่าจะหน้าท้องที่ใหญ่จนต้องประคอง อาการปวดหลังและเมื่อยตามตัวก็ทำให้ไม่อยากจะขยับไปไหน ยิ่งกับกระดูกกระบังลมที่ยกขึ้นเพื่อรองรับกับขนาดร่างกายทารกก็ยิ่งทำให้เขาเจ็บ ถึงร่างกายของโอเมก้าจะมีเพศสภาพที่รองรับภาวะตั้งครรภ์ก็จริง แต่ด้วยขนาดตัวของเขาที่เล็กมากกับร่างกายของเด็กน้อยที่เติบโตอย่างแข็งแรงนั้นสวนทางกัน

และไม่ต้องเดาก็รู้เลยว่าลูกของเขาได้สุขภาพที่ดีนั้นจากใคร

ระหว่างช่วงเวลาเก้าเดือนคนที่ต้องแบกรับภาระไม่ต่างจากเขาคือแจบอม ด้วยอารมณ์ที่แปรปรวนและความเครียดสะสมจากการตั้งครรภ์ทำให้ร่างสูงต้องคอยดูแลเขาอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าอี้เอินจะเผลอตะคอกบ้าง ทำตัวไร้เหตุผลอย่างที่ไม่เคยบ้าง แต่อีกฝ่ายก็ยังคงใจเย็น กอดเขาเอาไว้ ปลอบด้วยถ้อยคำที่ทำให้รู้สึกอบอุ่น จนในที่สุดพวกเขาทั้งสองคนก็ค่อยๆก้าวข้ามผ่านทุกอย่างมาได้ด้วยดี

จวบจนเมื่อหกวันที่แล้ว อี้เอินที่กำลังเดินไปหยิบผ้าทำความร้อนก็ชะงักไปจากอาการถุงน้ำคร่ำแตกทำให้เขาตกใจจนหายใจไม่ออก อาการปวดจนแทบล้มลงกับพื้นยังคงเด่นชัดอยู่ในความทรงจำ มันทำให้หัวใจของเขาเต้นแรง สมองทำงานได้ช้าลงจากความกลัว มันไม่ใช่เรื่องปกติที่เขาจะร้องไห้ออกมา แต่ในวินาทีนั้นที่แจบอมเข้ามารับเขาไว้ อุ้มด้วยสีหน้าที่เป็นกังวลเพื่อไปโรงพยาบาลกับเสียงทุ้มที่คอยให้กำลังใจตลอดเวลาเหมือนช่วยดึงลมหายใจเขาให้กลับมาอีกครั้ง

การผ่าตัดคลอดเป็นเรื่องปกติในหมู่โอเมก้า หากแต่น้อยคนที่จะทนมีสติด้วยการบล็อคหลังในระหว่างคลอด แต่อี้เอินกลับเป็นหนึ่งในนั้นที่ยอมทนเจ็บเพียงเพราะอยากเห็นวินาทีที่ทารกน้อยเกิดมา ซึ่งทันทีที่แพทย์ผู้ผ่าตัดยืนยันว่าเจ้าตัวเล็กที่แดงแจ๋ไปทั้งตัวนั้นเป็นเพศชาย เขากับแจบอมก็หัวเราะออกมาทั้งน้ำตา ก่อนที่รอยจูบอบอุ่นที่หน้าผากจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขารับรู้ก่อนจะหมดสติไป

และถึงจะศึกษาทั้งยังเตรียมใจมาบ้าง แต่ร่างกายที่เปลี่ยนไปด้วยหน้าอกที่นูนขึ้นมาเพื่อรองรับการให้นมบุตรนั้นก็ยังไม่คุ้นชินสักเท่าไหร่ ถึงจะดูเป็นเพียงระยะเวลาเพียงหกเดือนต่อจากนี้ที่ต้องให้น้ำนมกับยองกวังด้วยตัวเอง มันก็ช่างยาวนานสำหรับเขาจนท้อใจ

อย่างน้อยก็เหนื่อยกับการต้องตีแจบอมที่ชอบมองบ่อยๆมากกว่าสิ่งอื่นใดนั่นแหละ

“เอินยังเจ็บแผลอยู่รึเปล่า?”

“นิดหน่อย แต่เอินปวดหลังมากกว่า”

“นอนอีกสักคืนมั้ย? จริงๆผมไม่รีบนะ”

คนตัวเล็กส่ายหน้า “ไม่เอา บ้านอิมรอเจอลูกแย่แล้ว”

เพราะช่วงนี้ตระกูลอิมที่กำลังวุ่นวายกับการเริ่มเพาะมะเขือเทศส่งออกหลังจากการฟื้นฟูไร่ยุ่งมากจนมาเยี่ยมพวกเขาที่โณงพยาบาลไม่ได้ ถึงเทคโนโลยีที่พัฒนาไปไกลจะทำให้สามารถเห็นภาพหรือคอลวีดีโอในบางครั้งที่ว่าง แต่เขาก็รู้ว่าอีกฝ่ายที่อยู่ห่างกันคงอยากเจอหน้าเจ้าหนูยองกวังอยู่ดี ดังนั้นอี้เอินเลยตัดสินใจที่จะเป็นฝ่ายเดินทางไปหาบ้านไร่นั้นด้วยตัวเอง

“เจ้าตัวเล็กยังหลับอยู่เลย”

“แจบอมไปดูมาเหรอ”

“ครับ” เขายิ้ม อุ้มคนตัวเล็กกว่าให้ขึ้นมานั่งตักแล้วกอดเอาไว้โดยไม่รอให้อีกคนได้ปฏิเสธ “แต่ในวัยทารกแบบนี้เขาหลับในตอนกลางวันแบบนี้เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว”

“หลังจากนี้ต้องดูแลลูกด้วยตัวเองแล้ว…แจบอมกลัวรึเปล่า?”

“หื้ม ทำไมต้องกลัวล่ะ”

อี้เอินเม้มปาก ความจริงแล้วตัวเขาเองไม่ได้นั่งตักอีกคนแบบนี้บ่อยครั้งสักเท่าไหร่ แต่หลังจากการผูกพันธะเขาก็รู้สึกสบายใจมากขึ้นที่จะมีแจบอมอยู่ใกล้ตัว แม้ในบางครั้งที่ร่างสูงไม่ได้เรียกหาก่อน แต่เขาก็มักจะเผลอเป็นฝ่ายขยับเข้าไปใกล้เพื่ออิงแอบซุกไออุ่นอย่างไม่รู้ตัว รอให้ความกังวลใจที่ไม่ได้เห็นเงาที่คุ้นเคยอยู่ในสายตาได้บรรเทาลง เว้นช่วงให้จังหวะหัวใจกลับมาตื่นปกติ จนถึงวินาทีที่มือหนานั้นค่อยๆลูบผมเขาอย่างแผ่วเบา

เขาก็ค้นพบทุกอย่างที่เป็นคำตอบของคำว่ารักในการกระทำนั้นโดยไม่ต้องใช้คำพูดใด

ยิ่งในช่วงตั้งครรภ์เขารับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของตัวเองได้ราวกับเป็นคนละคน อี้เอินมักจะกังวลและอยู่ไม่สุขเมื่อแจบอมไม่ได้อยู่ใกล้ สายใยบางอย่างที่เชื่อมพวกเขาไว้เป็นอะไรที่มากกว่าความพิเศษที่ทำให้เขาสงบลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ

นอกจากการดูแล แจบอมมักจะคุยกับยองกวังที่ยังอยู่ในท้องเป็นกิจวัตรประจำวัน ซึ่งลูกชายตัวน้อยของพวกเขานั้นตอบสนองต่อเสียงของอีกฝ่ายเป็นพิเศษ ครั้งใดที่อีกฝ่ายอยู่ใกล้ ลูกน้อยก็มักจะดิ้นราวกับรับรู้ และเมื่อฝ่ามือนั้นทาบลงในตำแหน่งที่เด็กชายนอนขดตัวอยู่ เท้าเล็กๆนั้นก็มักจะตอบสนองทันทีด้วยการถีบหน้าท้องเขาไปมาแทนการพูดสื่อสาร

และเมื่อเจ้าตัวน้อยคลอดออกมา ความกังวลใจของการมีลูกคนแรกก็ทำให้เขาอดกังวลไม่ได้ ไม่ใช่ว่าไม่ไว้ใจว่าแจบอมจะทำหน้าที่ได้ไม่ดี แต่ตัวเขาเองที่ยังไม่เคยเฝ้าเลี้ยงดูใครตั้งแต่แรกเกิดจนโตจะทำให้ยองกวังเป็นเด็กดีมั้ย หากทำอะไรพลาดไป หรือว่าอนาคตมีเรื่องร้ายแรงที่คาดไม่ถึงจะหาทางออกได้หรือเปล่า

เพราะว่าอี้เอินนั้นกลัว และยังคงกลัวอยู่มากเพราะไม่มั่นใจในตัวเอง

“เขาเป็นลูกของเรา…เป็นลูกคนแรก…” ร่างบางรู้ดีว่าเสียงตัวเองสั่น แต่นั่นก็ทำให้ความกลัวในใจเก็บซ่อนไว้ไม่ได้ “ผมกังวลว่าจะเป็นผู้ปกครองที่ดีหรือเปล่า กลัวว่าเขาอาจจะโตมาแล้วผิดหวังกับตัวเองมั้ย กลัวกระทั่งว่าผมจะไม่สามารถมอบความรักให้เขาได้มากพอ ผมก็ยิ่งกลัว…”

“เอิน…”

“ถ้าเกิดเขาไม่สบายเขาจะเจ็บมั้ย ถ้าเขาร้องไห้สักวันผมจะขาดใจรึเปล่า อนาคตเขาอาจจะเจอคนที่ไม่ดี แล้วถ้าเขาเจอปัญหาผมจะช่วยเขายังไง…”

ดวงตาที่สั่นไหวนั้นทำให้เขาที่กำลังกอดคุณแม่มือใหม่เจ็บปวดก็จริง แต่แจบอมก็ยอมรับว่าความกังวลเหล่านั้นทำให้เขาเอ็นดูจนอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา

ถึงจะไม่แสดงออก ไม่มีถ้อยคำที่พูดออกมาถึงด้านที่อ่อนแอบ่อยๆ แต่เขาที่ใช้เวลาอยู่กับอี้เอินตลอดเวลาก็รับรู้เสมอว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นคนที่อ่อนโยนมากแค่ไหน อาจจะเป็นกระต่ายที่โผงผางไปบ้าง แต่ความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้เลยคือร่างเล็กนั้นคิดถึงคนอื่นก่อนตัวเองเสมอ

อี้เอินไม่ได้แข็งกระด้าง คนตัวเล็กเพียงแค่มีวิธีการแสดงออกถึงความรักในแบบของตนก็เท่านั้นเอง

“อนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน แน่นอนว่าชีวิตไม่ได้มีแต่เรื่องที่ดีเสมอ ผมและเอินก็ย่อมเจออุปสรรคเช่นกัน…”

ร่างหนาพูดด้วยรอยยิ้ม เกลี่ยน้ำตาหนึ่งหยดที่ร่วงลงจาปลายหางตาของอีกฝ่ายด้วยความอ่อนโยนก่อนจะสบมองลึกลงไปในแก้วตาสีอ่อนที่เขารักมากที่สุด

“แต่ในอุปสรรคนั้นที่ต้องเผชิญมันอาจจะน่ากลัวมาก ดูย่ำแย่และทำให้ท้อเวลาที่เอินนึกถึง แต่หนึ่งสิ่งที่ผมอยากให้เอินรู้เอาไว้”

“……….….”

“ว่าทั้งหมดนั้นคุณจะไม่ได้ข้ามผ่านมันไปด้วยตัวคนเดียวอย่างแน่นอน”

“แจบอม…”

ความรู้สึกอุ่นวาบเข้าโอบล้อมทั้งดวงใจก่อนที่อี้เอินจะกอดแจบอมแน่นเมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังจะร้องไห้ ไม่มีหลักวิทยาศาสตร์ใดยืนยัน ไม่มีกฎข้อไหนที่ตายตัว ไม่มีสิ่งแปรผันใด แต่ถึงแบบนั้นในตอนที่คนตัวเล็กเอียงหน้ากดจูบอีกฝ่าย เขาก็รับรู้ได้ทันทีว่าหัวใจทั้งสองดวงของพวกเขากำลังเต้นเป็นจังหวะเดียวกันดั่งเช่นลมหายใจของพวกเขาที่ประสานกันเป็นหนึ่งเดียว

“อื้อ…”

เขาไม่ใช่คนที่จะรอให้จูบ อี้เอินชอบเป็นฝ่ายจูบก่อน ทว่าเพียงแค่สองช่วงลมหายใจที่ร่างสูงผละออกไปเพื่อเปลี่ยนองศาของใบหน้าแล้วแนบจูบกลับมาอีกครั้ง ลิ้นร้อนที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนไวท์ช็อคโกแลตถูกหลอมละลายก็ถูกป้อนเข้ามา และกลายเป็นผู้ตามจูบครั้งนี้อย่างไม่ได้ตั้งใจ

อี้เอินหอมเหมือนกลิ่นดอกลิลลี่ป่า หวานมากกว่านมสตรอว์เบอร์รี่ที่เขาชอบ บอบบางเหมือนผลไม้ที่ต้องระวังไม่ให้ช้ำมือ แต่ถึงแบบนั้นแจบอมที่ห่างหายจากการสัมผัสทางร่างกายกับอีกฝ่ายมามากกว่าเก้าเดือนนั้นก็ห้ามให้ตัวเองหยุดสัมผัสอีกฝ่ายไม่ได้เลยแม้แต่น้อย กลับกันแล้วยิ่งริมฝีปากบางขยับจูบตอบเขาอย่างน่ารัก เบียดเอวเข้าหาในตอนที่เขารั้งเข้ามากอดจนได้ยินเสียงเตียงผู้ป่วยดังขึ้นเบาๆเมื่อร่างเล็กทิ้งน้ำหนักลงมาหา เขาก็ยิ่งอยากสัมผัสโอเมก้าคนนี้มากยิ่งขึ้น

ไม่ใช่แค่จูบนี้ ไม่ใช้เพียงกอดแบบนี้ แจบอมต้องการอี้เอินมากกว่านั้น

“อ๊ะ! อืออออ…”

เสียงหวานห้าวที่หลุดครางออกมาเมื่อเขาเป็นฝ่ายพลิกตัวขึ้นคร่อมแล้วแนบริมฝีปากกับต้นคอทำให้ทุกอย่างยิ่งยากเกินจะห้ามใจ แจบอมขบงับตามลำคอสวย เลื่อนมือสัมผัสไปตามผิวขาวอมชมพูที่เต็มมือมากกว่าครั้งไหนๆจนอีกฝ่ายเกร็งสะท้าน เอวเล็กของอี้เอินเป็นส่วนแรกที่เขาบีบมันด้วยความมันเขี้ยวก่อนที่ส่วนต่อมาจะเป็นชายซี่โครงที่เขาแตะมันเพียงแผ่วเบา

และสุดท้ายเป็นทรวงอกอิ่มที่นุ่มซึ่งเบียดกับแผ่นอกเขาตั้งแต่แรก นั่นทำให้ใบหน้าหวานแดงจัดก่อนจะพยายามเอ่ยปากห้ามทันที

“แจบอมอย่—”

 

 

 

แอ๊ด…

 

 

 

“อรุณสวัสดิ์— อ่า…”

ปาร์คจินยองในชุดเรียบง่ายที่เคียงคู่มากับยูคยอมราวกับเงาตามตัวยืนนิ่งกับภาพตรงหน้าด้วยเสียงที่ขาดหายไปราวกับหยุดหายใจ

แจบอมที่นอนคร่อมโอเมก้าตัวเล็กเป็นสิ่งที่เขาคาดไม่ถึงว่าจะเจอในเช้าวันเสาร์แบบนี้ เสื้อผ้าของพี่ชายไม่ได้หลุดรุ่ย หากแต่เป็นอี้เอินที่เสื้อตัวนอกถูกปลดกระดุมออกมากกว่าสามเม็ดที่ทำให้จินยองนึกหาคำพูดไม่ออก

แต่ทันทีที่ดวงตากลมเหมือนกวางหยุดมองที่ตำแหน่งมือของแจบอม เขาก็รู้ทันทีว่าตัวเองต้องทำยังไงต่อไป

“ขอโทษที่มารบกวนครับ…”

“กลับมาเดี๋ยวนี้นะปาร์คจินยอง!!”

 

 

 

อี้เอินแทบจะถีบแจบอมออกไปอยู่แล้ว!

อีกอย่างอย่ามาหนีกันง่ายๆแบบนั้นนะ! มันไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นสักหน่อย!  โธ่!!!!

 

 

 

 

 

.

.

.

.

 

 

Blue

 

 

 

ปาร์คจินยองไม่ใช่คนเอาแต่ใจ

ไม่ใช่เพียงไม่ร้องขอ แต่ถึงจะมอบอะไร คนตัวเล็กคนนี้ก็มักจะส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มด้วยความเกรงใจ น้อยครั้งที่อีกฝ่ายจะเอ่ยปากเรียกร้อง หรือรบกวนแม่จะเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ตาม

ผมถึงแปลกใจไม่น้อยที่จู่ๆเขาก็มาอ้อนขอว่าอยากไปเที่ยวญี่ปุ่นด้วยกัน

อาจจะเป็นเพราะตั้งแต่ครั้งก่อนที่ผมบินไปญี่ปุ่นไม่มีคนตัวเล็กไปด้วย ครั้งนี้ที่ผมว่างงาน รวมไปถึงเขาที่อยากพักผ่อนเป็นครั้งแรกจึงทำให้เจ้าตัวเสนอไอเดียว่าอยากไปแดนซากุระด้วยกัน และผมที่ตามใจเขามากขนาดนี้จะทำอะไรได้นอกจากจัดการจองตั๋วเพื่อทริปไปญี่ปุ่นแบบกะทันหันและไม่ได้เตรียมใจเท่าไหร่จึงเกิดขึ้นภายในสองวันทันที

“ผมคิดไปเองรึเปล่าว่าคุณดูตื่นเต้นเป็นพิเศษ”

“เอ๊ะ…เหรอครับ?”

ใบหน้าหวานเงยขึ้นมาสบตาด้วยท่าทีตกใจ ดวงตากลมกระพริบปริบเหมือนทบทวนความคิดก่อนที่มือบางจะเกาจมูกน้อยๆคล้ายจะเพิ่งรู้ตัว และกลิ่นกุหลาบที่หอมมากขึ้นทำให้ผมรู้ว่าเขามีอัตราการเต้นของหัวใจที่เร็วขึ้นโดยที่เจ้าตัวไม่ทันได้ยอมรับ

“สงสัย…ได้เที่ยวกับคุณยูคยอมครั้งแรกก็เลย…”

เขาเม้มปาก พวงแก้มกลมแดงขึ้นอีกเล็กน้อย และนั่นทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะดึงเบต้าตัวเล็กเข้ามากอด กดจูบบนริมฝีปากนุ่มอยู่หลายครั้ง เก็บเกี่ยวความหอมหวาน กักขังเขาไว้ในอ้อมแขนไม่ยอมให้ใครเห็นจนกระทั่งพอใจ ได้ยินเสียงครางอือเหมือนจะยืนไม่ไหวถึงปล่อยให้เขากลับไปยืนด้วยตัวเองอีกครั้ง

“ไม่จูบต่อเหรอครับ”

“หื้ม?”

“กะ…ก็เมื่อกี้เราจูบกันนิดเดียวเอง” มือบางดึงเสื้อผมไว้แล้วช้อนตามอง “จูบต่อก็ได้นะครับ…”

 

 

 

บางครั้งผมก็นึกสงสัยว่าทำไมคนตัวเล็กตรงหน้าถึงช่างยั่วเก่งมากถึงขนาดนี้

เขารู้ไหมว่ามันอันตรายมากแค่ไหน

 

 

 

พักนี้ปาร์คจินยองขี้อ้อนกับผมเป็นพิเศษ จะก้าวไปไหน จะทำอะไร ร่างเล็กก็จะจับมือเดินตามผมต้อยๆไม่ยอมห่าง ดวงตากลมที่เคยสนใจแต่ตัวหนังสือจะชอบมองตรงมาอย่างไม่ปิดบัง คำพูดคำจาก็เอ่ยขออย่างไม่ขัดเขิน ยิ่งถ้านั่งเก้าอี้เมื่อไหร่ เจ้าลูกกวางใจกล้าก็จะเดินมานั่งตักทันทีโดยไม่ต้องเรียก แถมมือก็ซุกซน ชอบเบียดเอวเข้าหาเหมือนจะทดสอบความอดทนที่ผมมีอยู่

เพราะช่วงนี้เป็นช่วงที่ผมกำลังรัท

จากครึ่งปีที่แล้วที่ผมได้ทำเรื่องเลวร้ายเอาไว้ มันทำให้อาการฝังใจกลัวว่าเขาจะเจ็บไม่ได้ทำให้ผมกอดเขาในช่วงเวลานี้เป็นครั้งที่สอง ปกติแล้วอัลฟ่าอย่างพวกเราเมื่อมีคู่ครองก็มักจะกอดคู่ของตัวเองเพื่อบรรเทาอาการตามสัญชาตญาณนั้น แต่ถึงผมจะรักเขาบ้างบางครั้ง แต่ก็มักจะทำอย่างระมัดระวัง เตือนสติตนเองอยู่เสมอว่าให้อ่อนโยน และจะไม่ทำอะไรคนตัวเล็กในตอนที่ตัวเองกำลังใช้อารมณ์ดิบอย่างเด็ดขาด

เพราะทั้งหมดนั้นอาจจะทำให้เขาเจ็บ และผมไม่ได้อยากให้จินยองต้องเสียน้ำตา

“ไม่จูบจริงๆเหรอครับ…”

ผมถอนหายใจกับความใจกล้านั้นแล้วจูบแก้มเขาอย่างเอ็นดู “หน้าแดงหมดแล้ว ไม่ต้องฝืนพูดก็ได้ครับ”

คนตัวเล็กหยีตา ร้องในลำคอด้วยนิสัยขี้อายเหมือนเดิมก่อนจะเข้ามากอดซุกเพื่อซ่อนใบหน้าที่ร้อนจัดไว้กลางอกไม่ยอมผละหน้าออกมา หูของเขาแดงไปหมด มือที่กอดผมก็สั่นเหมือนลูกสุนัขตกน้ำ แถมอาการส่งเสียงเหมือนร้องไห้ที่ตัวเองพูดอะไรแบบนั้นออกมาก็ทำให้ผมอดยิ้มออกมาไม่ได้

ถึงจะกล้ามากแค่ไหน ดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าวันแรกที่เรารู้จักกันมากเท่าไหร่ สุดท้ายแล้วจินยองก็ยังคงเป็นจินยอง

เขาก็ยังคงเป็นลูกกวางตัวน้อยที่แสนใสซื่อของผมอยู่ดี

 

 

 

 

 

.

.

.

.

 

SECRET

🙂

 

 

 

 

SEE YOU IN PRE-ORDER ‘ROSE’

 

 

 

 

 

littlegrey

@wishwithwitch

 

 

 

 

 

 

 

Leave a comment